vincent.jpg.png
vc_3.png
Vincent Clinic Bangkok Plastic Surgery
คลินิกศัลยกรรมความงาม ดูแลโดยทีมแพทย์เฉพาะทาง
Generic selectors
Exact matches only
Search in title
Search in content
Post Type Selectors
"><font style="vertical-align: inherit
"><font style="vertical-align: inherit
บทความ
ศัลยกรรมคางเบี้ยว คืออะไร แก้ปัญหาอะไร ต่างจากเสริมคางทั่วไปไหม?
แชร์ :

ศัลยกรรมคางเบี้ยว คืออะไร แก้ปัญหาอะไร ต่างจากเสริมคางทั่วไปไหม?

ศัลยกรรมคางเบี้ยวคืออะไร
อยากรู้เรื่องอะไร? คลิกที่หัวข้อได้เลย!

Key takeaways

  • คางเบี้ยวเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น กรรมพันธุ์ พฤติกรรมในชีวิตประจำวัน อุบัติเหตุ หรือกระดูกเจริญเติบโตผิดปกติ ซึ่งล้วนส่งผลให้รูปหน้าไม่สมดุลและกระทบความมั่นใจในชีวิตประจำวัน
  • ลักษณะคางเบี้ยวมีหลายรูปแบบ ทั้งคางเอียงซ้าย-ขวา คางยื่นหรือถอยผิดแนว และคางเบี้ยวร่วมกับปัญหาขากรรไกร ซึ่งแต่ละแบบต้องได้รับการวินิจฉัยอย่างแม่นยำเพื่อเลือกแนวทางรักษาที่เหมาะสม
  • ศัลยกรรมคางเบี้ยวไม่ใช่แค่เรื่องความสวยงาม แต่เป็นการผ่าตัดเพื่อปรับกระดูกหรือเปลี่ยนซิลิโคนให้สมดุลกับใบหน้า ช่วยฟื้นความมั่นใจและปรับโครงสร้างให้เหมาะสมกับการใช้งานในชีวิตประจำวัน
  • ต่างจากการเสริมคางทั่วไปอย่างชัดเจน เพราะเน้นแก้ปัญหาโครงสร้างที่ซับซ้อน ต้องใช้การ X-ray หรือ CT Scan และอาจต้องเลื่อยหรือเลื่อนกระดูก ซึ่งต้องอาศัยความชำนาญของศัลยแพทย์เฉพาะทาง
  • เลือกศัลยแพทย์ที่มีประสบการณ์และคลินิกที่ได้มาตรฐานเท่านั้นก่อนศัลยกรรมคางเบี้ยว เพื่อความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ตรงใจ มีวิสัญญีแพทย์ดูแล และมีระบบติดตามหลังผ่าตัดอย่างใกล้ชิดเสมอ

คางเบี้ยวเกิดจากอะไร?

คางเบี้ยว เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัยด้วยกัน ซึ่งส่งผลกระทบทั้งในเรื่องของบุคลิกภาพ ใบหน้าโดยรวม และความมั่นใจที่ลดลง ซึ่งสาเหตุของคางเบี้ยวนั้นมีได้หลายสาเหตุ โดยการทำความเข้าใจต้นเหตุของคางเบี้ยวจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่จะช่วยให้การรักษาแม่นยำและเห็นผลมากที่สุด ดังนี้

คางเบี้ยวโดยกำเนิด

คางเบี้ยวที่เกิดขึ้นตั้งแต่กำเนิดมักมีสาเหตุมาจากพัฒนาการของกระดูกกรามหรือขากรรไกรที่ไม่สมดุลตั้งแต่อยู่ในครรภ์ อาจเกิดจากพันธุกรรม ความผิดปกติของการเจริญเติบโตของกระดูก หรือความไม่สมดุลของกล้ามเนื้อบริเวณใบหน้า ทำให้คางเอียงไปข้างใดข้างหนึ่งตั้งแต่เด็ก และจะยิ่งเห็นชัดเจนขึ้นเมื่อร่างกายเติบโตขึ้น 

คางเบี้ยวจากพฤติกรรมเสี่ยง

หลายคนอาจไม่รู้ว่าพฤติกรรมในชีวิตประจำวันก็มีผลต่อความเบี้ยวของคางได้เช่นกัน โดยเฉพาะพฤติกรรมที่เกิดซ้ำๆ เป็นเวลานาน เช่น การนอนตะแคงข้างเดิมตลอดเวลา การเทน้ำหนักศีรษะขณะนอน หรือการเคี้ยวอาหารข้างเดียวบ่อยๆ สิ่งเหล่านี้ทำให้กล้ามเนื้อและข้อต่อขากรรไกรทำงานไม่สมดุล และส่งผลให้แนวคางหรือกรามเอียงได้ในระยะยาว ซึ่งหากตรวจพบแต่เนิ่นๆ อาจสามารถปรับพฤติกรรมและรักษาคางเบี้ยวด้วยวิธีที่ไม่ต้องผ่าตัดได้

คางเบี้ยวจากอุบัติเหตุ

ในบางกรณีคางเบี้ยวอาจเกิดจากการกระแทกหรืออุบัติเหตุที่รุนแรง จนทำให้กระดูกบริเวณคางหรือขากรรไกรเคลื่อน หรือหักโดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะหากเคยประสบอุบัติเหตุบริเวณใบหน้ามาก่อน แม้แผลภายนอกจะหายดี แต่โครงสร้างภายในอาจผิดตำแหน่ง ส่งผลให้แนวคางไม่ตรง และเกิดอาการเบี้ยวเอียง หากเป็นกรณีนี้ ควรให้แพทย์ประเมินด้วยการถ่ายภาพรังสีหรือ CT Scan เพื่อวางแผนแก้ไขอย่างเหมาะสม

คางเบี้ยวมีลักษณะแบบไหน

คางเบี้ยวมีลักษณะแบบไหนบ้าง?

คางเบี้ยวไม่ได้มีลักษณะเดียว แต่สามารถแสดงออกได้หลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับทิศทางของการเอียง ความรุนแรง และความสัมพันธ์กับโครงสร้างอื่นๆ บนใบหน้า การรู้ลักษณะของคางเบี้ยวแต่ละแบบจะช่วยให้สามารถวินิจฉัยและวางแผนการรักษาได้อย่างแม่นยำมากยิ่งขึ้น โดยแบ่งออกเป็น 3 ลักษณะหลัก ๆ ดังนี้

คางเบี้ยวเอียงซ้ายหรือขวา

เป็นลักษณะคางเบี้ยวที่พบบ่อยที่สุด โดยปลายคางจะเอียงไปด้านใดด้านหนึ่งของใบหน้าอย่างชัดเจน ทำให้เมื่อมองตรงจะเห็นใบหน้าไม่สมมาตรอย่างชัดเจน คางอาจเบี้ยวเล็กน้อยไปจนถึงระดับที่เห็นชัดเจนมาก ซึ่งส่งผลต่อความสมดุลของรูปหน้าโดยรวม มักเกิดจากโครงสร้างขากรรไกรที่ไม่เท่ากัน กล้ามเนื้อดึงคางไม่สมดุล

คางเบี้ยวด้านหน้าหรือด้านหลัง

ลักษณะนี้มักเกิดจากโครงกระดูกคางหรือแนวขากรรไกรล่างที่ยื่นหรือร่นผิดปกติ ส่งผลให้คางดูเบี้ยวในมุมด้านข้าง เช่น คางยื่นไปข้างหน้า คางร่นไปด้านหลัง ซึ่งอาจทำให้หน้าดูยาวผิดปกติ หรือใบหน้าดูไม่มีมิติ ลักษณะนี้อาจเกิดจากกรรมพันธุ์ พฤติกรรม หรือโครงสร้างฟันร่วมด้วย

คางเบี้ยวร่วมกับปัญหาขากรรไกร

ในบางกรณีคางเบี้ยวอาจไม่ใช่แค่เรื่องของแนวคางเท่านั้น แต่เกิดร่วมกับความผิดปกติของขากรรไกร เช่น ขากรรไกรล่างยื่น ขากรรไกรบนสั้น หรือการสบฟันไม่พอดี โดยลักษณะนี้จะมีผลต่อการเคี้ยวอาหาร การพูด และสมดุลของใบหน้าอย่างชัดเจน ทำให้เกิดปัญหาคางยื่น หรือคางถอย เหมือนกัน ซึ่งการแก้ไขมักต้องทำร่วมกับทันตแพทย์เฉพาะทางด้านขากรรไกรหรือศัลยแพทย์ที่เชี่ยวชาญโดยเฉพาะ

ศัลยกรรมคางเบี้ยว คืออะไร? ทำอย่างไร?

ศัลยกรรมคางเบี้ยว คือ การผ่าตัดเพื่อปรับรูปทรงของคางให้ได้สมดุลกับใบหน้า แก้ปัญหาคางเอียง คางไม่เท่ากัน หรือแนวกระดูกเบี้ยว โดยแพทย์จะเลือกวิธีการรักษาให้เหมาะกับแต่ละบุคคล ซึ่งก่อนที่จะศัลยกรรมคางนั้นแพทย์จะทำการ X-ray หรือ CT Scan โครงหน้าขากรรไกรเพื่อวิเคราะห์โครงสร้างกระดูก และวางแผนการรักษาที่ขึ้นอยู่กับโครงสร้างกระดูก ความเบี้ยว และความต้องการของคนไข้ โดยมีวิธีแก้ไขคางเบี้ยวดังนี้

ผ่าตัดปรับโครงสร้างกระดูกคาง

การผ่าตัดโครงสร้างกระดูกเป็นการแก้ไขปัญหาคางเบี้ยวจากกระดูกโดยตรง ซึ่งจะทำการปรับใบหน้าส่วนล่าง เช่น ขากรรไกร กระดูกกราม กระดูกคาง โดยใช้การเหลาคาง กรอคาง การตัดกระดูก หรือเลื่อนปรับขยับให้คางกลับมาสมดุลอยู่กึ่งกลางใบหน้า

ผ่าตัดเสริมคาง

ผ่าตัดเสริมคาง เป็นการแก้ไขปัญหาคางเบี้ยวอีกหนึ่งวิธีที่จะใช้ซิลิโคนมาเสริมบริเวณคางให้ดูสมดุลมากขึ้น และยังสามารถทำร่วมกับการกรอกระดูกหรือผ่าตัดเลื่อนขากรรไกรได้ เนื่องจากการใส่ซิลิโคนเป็นการปรับเปลี่ยนรูปทรงและขนาดของคางให้เป็นไปตามที่ต้องการ ช่วยให้คางได้รูป ปรับให้คางยาวขึ้น หน้าเรียวสวย รูปหน้าโดยรวมได้สัดส่วนมากยิ่งขึ้น

ใครเหมาะกับการศัลยกรรมคางเบี้ยว

การผ่าตัดแก้ไขคางเบี้ยวไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของความงามเท่านั้น แต่ยังช่วยปรับสมดุลใบหน้าและคืนความมั่นใจให้กับผู้ที่เผชิญปัญหาโครงสร้างคางผิดปกติ ซึ่งผู้ที่เหมาะกับการศัลยกรรมคางเบี้ยวจะมีลักษณะดังต่อไปนี้

คนที่มีคางเบี้ยวชัดเจน จนส่งผลต่อความมั่นใจ

ผู้ที่มีคางเอียงชัดเจนไม่ว่าจะในลักษณะเอียงซ้าย–ขวา หรือคางยื่น ผิดแนวไปด้านหน้า–ด้านหลัง ซึ่งทำให้ใบหน้าดูไม่สมมาตร ส่งผลต่อบุคลิกและความมั่นใจ โดยเฉพาะเมื่อต้องถ่ายรูปหรือเข้าสังคม ต้องการแก้ปัญหาเพื่อความสวยงามของใบหน้า การผ่าตัดคางเบี้ยวสามารถช่วยปรับแนวโครงสร้างให้ตรงขึ้น ใบหน้าดูสมดุล หน้ามีมิติ มั่นใจมากขึ้น

คนที่เคยเสริมคางแล้วเบี้ยว 

สำหรับคนที่เคยผ่านการเสริมคางมาก่อน แต่พบว่าผลลัพธ์ไม่สมดุล หรือ ซิลิโคนคาง ที่ใส่เบี้ยวเอียงจากศูนย์กลางจนทำให้รูปหน้าดูผิดธรรมชาติสามารถเข้ารับการผ่าตัดแก้ไขได้ โดยแพทย์จะประเมินว่าคางเบี้ยวจากเนื้อเยื่อรอบซิลิโคน หรือมีโครงกระดูกเบี้ยวตั้งแต่แรก ซึ่งจะนำไปสู่การวางแผนการรักษาที่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นการปรับตำแหน่งซิลิโคนเดิม ผ่าตัดเปลี่ยนซิลิโคนใหม่ หรือผ่าตัดปรับโครงสร้างกระดูกเพื่อให้ได้รูปหน้าที่สวยและสมดุลมากขึ้น

ใครบ้างที่ไม่ควรทำศัลยกรรมคางเบี้ยว?

แม้ว่าการผ่าตัดศัลยกรรมคางเบี้ยวจะช่วยปรับรูปหน้าให้ดูสมดุลและเสริมความมั่นใจได้อย่างมาก แต่ก็มีบางกลุ่มที่อาจไม่เหมาะสมกับวิธีนี้ เนื่องจากมีความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน หรืออาจไม่สามารถดูแลตนเองหลังผ่าตัดได้อย่างเต็มที่ เช่น

ผู้ที่มีโรคประจำตัวควบคุมไม่ได้

ผู้ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง เช่น เบาหวานที่ควบคุมไม่ได้ ความดันโลหิตสูงที่ไม่เสถียร โรคหัวใจ โรคเกี่ยวกับเลือด หรือภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง เป็นโรคมีความเสี่ยงสูงต่อภาวะแทรกซ้อนระหว่างหรือหลังการผ่าตัด อาจทำให้แผลหายช้า ติดเชื้อ หรือเลือดออกมากผิดปกติ ก่อนทำศัลยกรรมคางเบี้ยวควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางร่วมกับศัลยแพทย์ก่อนเสมอเพื่อประเมินความพร้อม และความปลอดภัย

คนที่ไม่พร้อมรับการผ่าตัดใหญ่  หรือขาดวินัยการดูแลหลังผ่าตัด

การผ่าตัดคางเบี้ยวโดยเฉพาะกรณีที่ต้องปรับกระดูก เป็นการผ่าตัดที่ต้องใช้ระยะเวลาในการฟื้นตัว และต้องมีวินัยในการดูแลตนเองอย่างต่อเนื่อง เช่น การงดอาหารแข็ง การทำความสะอาดแผลอย่างถูกต้อง และมาตรวจตามที่แพทย์นัด หากผู้ป่วยไม่มีความพร้อมทางร่างกายหรือจิตใจ ไม่สามารถปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ได้อย่างเคร่งครัด อาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ผลลัพธ์ไม่ตรงตามที่วางแผนไว้ หรือเกิดปัญหาแทรกซ้อนตามมาได้

ขั้นตอนการศัลยกรรมคางเบี้ยว

การผ่าตัดแก้คางเบี้ยวด้วยวิธีศัลยกรรมเป็นต้องอาศัยการวางแผนอย่างรอบคอบ การประเมินที่ละเอียด และแพทย์ที่มีประสบการณ์ โดยมีขั้นตอนที่สำคัญตั้งแต่ก่อนผ่าตัดจนถึงการดูแลหลังทำเพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาสวยงามและปลอดภัยที่สุด ดังนี้

ประเมินและวางแผนร่วมกับศัลยแพทย์

ก่อนที่จะทำศัลยกรรมคางเบี้ยวจะต้องเข้ารับการประเมินจากศัลยแพทย์ตกแต่งใบหน้าโดยตรง ซึ่งแพทย์จะตรวจโครงสร้างกระดูก กราม และรูปหน้าโดยรวม พร้อมซักประวัติทางการแพทย์ รวมถึงมีการ X-ray หรือ CT Scan เพื่อดูแนวกระดูกอย่างละเอียด และออกแบบรูปทรงคางที่เหมาะสม ทั้งในเชิงความงามและความสมดุลของการเคลื่อนไหวขากรรไกร เพื่อเลือกวิธีที่เหมาะสมกับการแก้ไข และผลลัพธ์ออกมาตรงตามความต้องการของคนไข้

การเตรียมตัวก่อนผ่าตัดศัลยกรรมคางเบี้ยว

การเตรียมความพร้อมก่อนเข้ารับการเสริมคางเป็นขั้นตอนที่สำคัญมาก เพื่อช่วยลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน และทำให้ผลลัพธ์ของการผ่าตัดออกมาดีที่สุด โดยมีวิธีเตรียมตัวดังนี้

  • งดใช้ยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด หลีกเลี่ยงการใช้ยาแอสไพริน ยาละลายลิ่มเลือด หรือยาในกลุ่ม NSAIDs ต่าง ๆ อย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อนผ่าตัด เนื่องจากยากลุ่มนี้อาจทำให้เลือดออกง่าย และเลือดหยุดยากระหว่างผ่าตัด
  • งดอาหารเสริมและสมุนไพรบางชนิด อาหารเสริมหรือสมุนไพรที่ส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น วิตามินอี น้ำมันปลา อีฟนิ่งพริมโรส หรือผลิตภัณฑ์ที่มีสารกระตุ้นการไหลเวียนเลือด ควรงดอย่างน้อย 1–2 สัปดาห์ล่วงหน้า
  • งดสูบบุหรี่ล่วงหน้า เนื่องจากสารนิโคตินในบุหรี่จะลดการไหลเวียนของเลือด ทำให้แผลหายช้าหรือเกิดภาวะเนื้อเยื่อตายได้  ควรหยุดสูบบุหรี่อย่างน้อย 1 – 2 สัปดาห์ก่อนเข้ารับการผ่าตัด
  • งดดื่มแอลกอฮอล์ล่วงหน้า เพื่อไม่ให้ร่างกายเกิดภาวะขาดสมดุล และลดความเสี่ยงของการติดเชื้อหลังผ่าตัดศัลยกรรมคางเบี้ยว  ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 1 – 2 สัปดาห์ก่อนการผ่าตัด
  • พักผ่อนให้เพียงพอและทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ควรนอนหลับให้เพียงพอ ดื่มน้ำให้มากพอ และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อเตรียมร่างกายให้พร้อมต่อการผ่าตัดและการฟื้นตัวหลังการรักษา
  • งดน้ำและอาหารก่อนผ่าตัด หากแพทย์มีการใช้ยาสลบจึงจำเป็นต้องงดน้ำและอาหารอย่างน้อย 6 – 8 ชั่วโมงก่อนเข้ารับการผ่าตัดตามคำแนะนำของแพทย์
  • ทำความสะอาดร่างกายอย่างเหมาะสม ก่อนเข้าห้องผ่าตัดควรอาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน และบ้วนปากให้เรียบร้อยเพื่อช่วยลดการสะสมของเชื้อแบคทีเรีย และลดความเสี่ยงของการติดเชื้อภายหลังการผ่าตัด
  • หากมีอาการเจ็บป่วย ควรแจ้งแพทย์ทันที ถ้าเป็นไข้ เป็นหวัด เจ็บคอ ผิวหนังอักเสบ หรือภาวะติดเชื้อใด ๆ ควรแจ้งแพทย์เพื่อพิจารณาว่าควรเลื่อนการผ่าตัดออกไปหรือไม่

วันผ่าตัด และการดูแลหลังทำศัลยกรรมคางเบี้ยว

ในวันผ่าตัดศัลยกรรมคางเบี้ยวแพทย์จะทำการวางยาสลบ หรือยาชาเฉพาะจุด ขึ้นอยู่กับเทคนิคและระดับความยากของเคส จากนั้นจะผ่าตัดเพื่อปรับตำแหน่งกระดูกหรือเปลี่ยนซิลิโคนที่เบี้ยว พร้อมเย็บแผลอย่างประณีต หลังผ่าตัดผู้ป่วยอาจมีอาการบวมช้ำซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ โดยสามารถดูแลตัวเองหลังทำเพื่อให้ไม่มีผลข้างเคียง และได้ผลลัพธ์ที่ต้องการดังนี้

  • ประคบเย็น และประคบอุ่น ในช่วง 1–3 วันแรกหลังผ่าตัดควรประคบเย็นบริเวณคางเพื่อช่วยลดอาการบวมและรอยช้ำที่อาจเกิดขึ้น และเปลี่ยนมาใช้การประคบอุ่น เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและช่วยให้รอยช้ำจางลงเร็วขึ้น ในวันที่ 4 หลังจากทำ
  • ควรนอนยกศีรษะให้สูง ใช้หมอนรองคอ หรือหนุนหมอนหลายใบเพื่อช่วยลดอาการบวมหลังผ่าตัด รวมถึงหลีกเลี่ยงการนอนตะแคงหรือนอนคว่ำในช่วง 1 เดือนแรก เพราะอาจทำให้คางเคลื่อนหรือเอียง
  • งดกิจกรรมที่ใช้แรงมาก เช่น การออกกำลังกาย วิ่ง ยกของหนัก หรือทำกิจกรรมที่อาจเกิดแรงกระแทกต่อคางอย่างน้อย 1 เดือน
  • หลีกเลี่ยงการจับ บีบ กด นวด หรือเท้าคาง เพราะซิลิโคนยังไม่ยึดเกาะกับกระดูกอย่างถาวร ควรหลีกเลี่ยงโดยเฉพาะช่วง 3 – 4 สัปดาห์แรก
  • ควรงดใช้ยาแอสไพรินหรือยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด ต่ออีกอย่างน้อย 2 สัปดาห์ เว้นแต่แพทย์แนะนำเป็นพิเศษ
  • ควรบ้วนปากด้วยน้ำเกลือหรือน้ำยาบ้วนปากหลังทุกมื้ออาหาร เพื่อป้องกันการติดเชื้อหลังจากศัลยกรรมคางเบี้ยวโดยเฉพาะในกรณีที่มีแผลอยู่ในช่องปากจากการ เสริมคางแผลใน
  • ใช้แปรงขนอ่อนและระมัดระวังในการแปรงฟัน ควรแปรงฟันเบาๆ และใช้แปรงที่ขนไม่แข็งมากเพื่อไม่ให้ไปกระทบ หรือกระแทกบริเวณแผลผ่าตัด
  • รับประทานอาหารอ่อน เช่น โจ๊ก ซุป ข้าวต้ม และหลีกเลี่ยงอาหารแข็ง เหนียว หรือที่ต้องเคี้ยวแรงในช่วง 1–2 สัปดาห์แรก
  • งดอาหารแสลง เช่น ของหมักดอง อาหารดิบ อาหารทะเล และอาหารรสจัด อย่างน้อย 1 เดือน เพื่อไม่ให้แผลบวมนานกว่าปกติ
  • งดสูบบุหรี่ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เนื่องจากสารในบุหรี่ และแอลกอฮอล์ทำให้การสมานแผลช้าลง ควรงดอย่างน้อย 1 สัปดาห์
  • หลีกเลี่ยงการหัวเราะแรงหรืออ้าปากกว้างมากในช่วงแรก เพื่อไม่ให้เกิดแรงตึง หรือแรงกระแทกที่บริเวณคางมากเกินไป
  • รีบติดต่อแพทย์ทันทีหากมีผิดปกติ ถ้ารู้สึกปวดมากๆ หลังทำ หรือแผลบริเวณที่ทำมีสีคล้ำผิดปกติ ควรรีบพบแพทย์เพราะอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนได้

ศัลยกรรมคางเบี้ยว พักฟื้นนานแค่ไหน? ต้องดูแลอย่างไร?

การผ่าตัดแก้คางเบี้ยวถือเป็นหัตถการที่ต้องอาศัยการฟื้นตัวของกระดูกและเนื้อเยื่ออย่างเหมาะสม ผู้เข้ารับการศัลยกรรมควรทำความเข้าใจในเรื่องระยะเวลาในการพักฟื้น และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน

ระยะเวลาบวมช้ำของศัลยกรรมคางเบี้ยว

โดยทั่วไปอาการบวมและช้ำจะเห็นได้ชัดในช่วง 3 – 5 วันแรกหลังผ่าตัด และจะค่อยๆ ดีขึ้นภายใน 7 – 14 วัน ส่วนอาการตึงหรือรู้สึกตึงบริเวณคางอาจจะรู้สึกนานประมาณ 2–3 สัปดาห์ ซึ่งเป็นผลจากการปรับโครงสร้างกระดูก หรือการใส่ซิลิโคน หลังจากที่ครบ 1 เดือนจะเริ่มเห็นผลลัพธ์ว่าที่เข้าที่ขึ้น และเห็นทรงชัดเจนเต็มที่ในช่วง 3 – 6 เดือนหลังจากทำ

ต้องหลีกเลี่ยงอะไรบ้างหลังผ่าตัดคางเบี้ยว?

หลังการผ่าตัดควรหลีกเลี่ยงการกระทบกระเทือนบริเวณคาง เช่น การนอนคว่ำ ก้มหน้าบ่อย หรือเล่นกีฬาที่มีแรงกระแทก รวมถึงหลีกเลี่ยงอาหารแข็งหรือเหนียวในช่วง 1–2 สัปดาห์แรก เพราะอาจทำให้แผลภายในกระทบกระเทือนได้ ควรงดสูบบุหรี่และแอลกอฮอล์ เพราะอาจชะลอการฟื้นตัวของแผล และควรมาพบแพทย์ตามนัดทุกครั้งเพื่อตรวจสอบความเข้าที่และติดตามผลหลังทำอย่างใกล้ชิด

ศัลยกรรมคางเบี้ยวต่างจากเสริมคางทั่วไปอย่างไร?

ศัลยกรรมคางเบี้ยวเป็นการผ่าตัดเพื่อแก้ไขความผิดปกติของแนวกระดูกคางที่เอียงหรือไม่สมมาตร ต้องใช้ภาพ X-ray หรือ CT Scan เพื่อวางแผนการรักษาอย่างแม่นยำ ซึ่งแพทย์จะทำการตัด หรือกรอกระดูกเพื่อปรับโครงสร้างใหม่ให้สมดุลกับใบหน้าที่เป็นขั้นตอนที่ซับซ้อน ต้องอาศัยศัลยแพทย์เฉพาะทาง และมีความเสี่ยงสูงกว่าเสริมคางทั่วไป การพักฟื้นใช้เวลานานกว่า และมักมีค่าใช้จ่ายสูง เนื่องจากเกี่ยวข้องกับโครงสร้างกระดูกโดยตรง และอาจต้องดูแลร่วมกับทันตแพทย์ในกรณีมีปัญหาการสบฟันร่วมด้วย

ในขณะที่การเสริมคางแบบปกติ โดยใช้ซิลิโคนเสริมปลายคางให้ดูสมส่วนมากขึ้นจะไม่ยุ่งกับกระดูก การผ่าตัดใช้เวลาสั้น แผลเล็ก พักฟื้นไม่นาน และความเสี่ยงต่ำกว่า หากทำโดยแพทย์ที่มีประสบการณ์จะได้ผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติและปลอดภัยมากขึ้น ค่าใช้จ่ายก็เข้าถึงง่ายกว่าเป็นทางเลือกที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปรับรูปหน้าโดยไม่ต้องแก้ไขโครงสร้างกระดูกคาง

ตารางเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่าง ผ่าตัดแก้คางเบี้ยว กับ เสริมคางทั่วไป

ประเด็นเปรียบเทียบ

ศัลยกรรมคางเบี้ยว

เสริมคางทั่วไป

วัตถุประสงค์ แก้ไขคางเบี้ยว แก้โครงสร้างกระดูกคางผิดปกติ เพิ่มความยาว ปรับรูปทรง และขนาด ช่วยให้ใบหน้าได้สัดส่วนสวยงามมากขึ้น
วิธีการ เลื่อนกระดูก  หรือผ่าตัดกระดูกคาง เสริมซิลิโคน หรือฉีดฟิลเลอร์
ความซับซ้อน มีความซับซ้อนสูง มีความซับซ้อนต่ำถึงปานกลาง
ระยะพักฟื้น พักฟื้นนานกว่า พักฟื้นน้อยกว่า
เหมาะกับใคร คนมีคางเบี้ยว โครงสร้างผิดปกติ คนที่คางสั้น ต้องการปรับรูปหน้าเรียว

**ตารางนี้เป็นการเปรียบเทียบเบื้องต้น ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับรายบุคคล

ศัลยกรรมคางเบี้ยวช่วยเรื่องอะไร

ศัลยกรรมคางเบี้ยวช่วยเรื่องอะไรได้บ้าง?

การผ่าตัดแก้คางเบี้ยวสามารถช่วยแก้ปัญหาได้หลายอย่าง ทั้งช่วยปรับเปลี่ยนโครงหน้าโดยรวมได้อีกด้วย โดยสามารถช่วยเรื่องต่าง ๆ ได้ดังนี้

ผ่าตัดแก้คางเบี้ยวช่วยปรับสมดุลใบหน้า

เมื่อเกิดปัญหาคางเบี้ยวขึ้นมาแม้เพียงเล็กน้อย ก็อาจทำให้ใบหน้าดูไม่สมดุลได้เลย เช่น คางเอียง ขากรรไกรดูเบี้ยว หรือรอยยิ้มดูเอียง การผ่าตัดเพื่อปรับกระดูกคางให้กลับมาตรงจึงช่วยให้คางมีความสมมาตรรับกับใบหน้ามากขึ้น  

ผ่าตัดแก้คางเบี้ยวช่วยเพิ่มความมั่นใจ

ปัญหาคางเบี้ยวส่งผลอย่างมากต่อความมั่นใจในการใช้ชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายรูป พูดคุย หรือแม้แต่การเข้าสังคม การแก้ไขคางให้ตรงจึงช่วยเสริมความมั่นใจ ทำให้คนไข้รู้สึกดีกับตัวเองมากขึ้น กล้าพูด กล้ายิ้ม และไม่ต้องกังวลกับมุมหน้าของตัวเองอีกต่อไป

ศัลยกรรมคางเบี้ยว ราคาเท่าไหร่?

ราคาของการทำศัลยกรรมคางเบี้ยวมีความแตกต่างกันออกไปในแต่ละรายบุคคล ขึ้นอยู่กับแพทย์เป็นผู้ประเมินระดับปัญหา เลือกเทคนิคการผ่าตัดที่เหมาะสม ความต้องการของคนไข้ และประสบการณ์ของแพทย์ เป็นต้น โดยศัลยกรรมคางเบี้ยวราคาประมาณ 40,000 – 200,000 บาท แนะนำให้เข้ามาปรึกษากับแพทย์โดยตรงเพื่อรับการประเมินและออกแบบการรักษาเฉพาะรายบุคคล

เลือกศัลยแพทย์และคลินิกอย่างไรให้ปลอดภัย?

การศัลยกรรมคางเบี้ยวถือเป็นหัตถการที่เกี่ยวข้องกับกระดูกใบหน้าโดยตรง ความชำนาญของศัลยแพทย์และความพร้อมของคลินิกจึงเป็นหัวใจสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม การเลือกคลินิกที่น่าเชื่อถือ ห้องผ่าตัดได้มาตรฐาน และดูแลโดยทีมแพทย์ผู้มีประสบการณ์ จะช่วยลดความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อน เพิ่มโอกาสให้ผลลัพธ์ออกมาสวยและปลอดภัยที่สุด โดยคลินิกที่ดีควรมีสิ่งเหล่านี้

ห้องผ่าตัดต้องได้มาตรฐาน

การที่จะผ่าตัดศัลยกรรมห้องที่ใช้ควรเป็นห้องผ่าตัดระบบปลอดเชื้อ (Sterile Room) ที่มีการควบคุมอุณหภูมิ ความดัน และการระบายอากาศ รวมถึงมีเครื่องมือแพทย์ที่ผ่านการฆ่าเชื้อตามมาตรฐาน เพื่อป้องกันการติดเชื้อหลังผ่าตัด

มีวิสัญญีแพทย์ดูแล

หัตถการผ่าตัดใหญ่ควรมีวิสัญญีแพทย์ดูแลในเรื่องของการดมยาสลบหรือฉีดยาชาเฉพาะจุด เพื่อควบคุมความปลอดภัยของคนไข้ตลอดระยะเวลาผ่าตัด รวมถึงติดตามสัญญาณชีพอย่างใกล้ชิดจนกว่าการผ่าตัดจะเสร็จสิ้น

มีระบบติดตามอาการหลังทำ

คลินิกที่ดีควรมีระบบติดตามอาการหลังผ่าตัด เช่น นัดตรวจตามระยะ การประเมินอาการ ตอบคำถามเมื่อคนไข้มีข้อสงสัย ให้คำปรึกษาแนะนำแนวทางแก้ไข้เมื่อเกิดความผิดปกติ และมีช่องทางให้ติดต่อทีมแพทย์หากเกิดภาวะแทรกซ้อน

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับศัลยกรรมคางเบี้ยว (FAQ)

ศัลยกรรมคางเบี้ยวเกี่ยวข้องกับการแก้ไขโครงสร้างกระดูกที่ซับซ้อน หลายคนที่สนใจจึงมักมีคำถามมากมายเพื่อช่วยให้ตัดสินใจได้อย่างมั่นใจ เราได้รวบรวมคำถามยอดฮิตที่พบบ่อยเกี่ยวกับการแก้คางเบี้ยวมาให้แล้วค่ะ

Q: ถ้าคางเบี้ยวเล็กน้อย ควรผ่าตัดเลยไหม หรือมีวิธีอื่น?
A: หากคางเบี้ยวไม่มากและไม่กระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น การพูด การเคี้ยวอาหาร เป็นต้น อาจพิจารณาการปรับสมดุลด้วยการเสริมซิลิโคนคางหรือฉีดฟิลเลอร์คางให้สมมาตรได้ 

Q: ผ่าตัดคางเบี้ยวต้องดัดฟันร่วมด้วยไหม?
A: ไม่จำเป็นเสมอไป แต่หากคางเบี้ยวมีสาเหตุจากโครงสร้างกระดูกใบหน้าหรือการสบฟันผิดปกติ อาจต้องจัดฟันร่วมด้วยเพื่อผลลัพธ์ที่สมบูรณ์ โดยเฉพาะในกรณีที่ขากรรไกรอยู่ผิดตำแหน่ง

Q:คางเบี้ยวจัดฟันอย่างเดียวหายไหม
A: คางเบี้ยวจากกระดูกผิดรูปแก้ไขด้วยจัดฟันอย่างเดียวไม่หายต้องผ่าตัดร่วมด้วย แต่ถ้าเกิดจากการสบฟันผิดปกติเล็กน้อยการจัดฟันอาจช่วยได้บางส่วน

Q: ศัลยกรรมคางเบี้ยวใช้เวลาพักฟื้นนานแค่ไหนกว่าจะกลับมาทำงานได้?
A: โดยทั่วไปสามารถกลับไปทำงานได้ใน 7–10 วันหากไม่มีภาวะแทรกซ้อน แต่การยุบบวมและเข้าที่อาจใช้เวลา 1–3 เดือน และผลลัพธ์สุดท้ายจะเห็นชัดเจนประมาณ 6 เดือนหลังผ่าตัด

Q: มีโอกาสที่คางจะกลับมาเบี้ยวอีกหลังผ่าตัดไหม?
A: หากผ่าตัดโดยศัลยแพทย์ที่มีประสบการณ์ หลังทำคนไข้ดูแลตัวเองอย่างเคร่งครัดตามแพทย์สั่ง และไม่เกิดอุบัติเหตุหรือการกระแทกรุนแรง คางก็จะไม่กลับมาเบี้ยวอีก

สรุป

การทำศัลยกรรมคางเบี้ยวมีทั้งการปรับโครงสร้างกระดูกคาง หรือเสริมคางได้ โดยจะดูจากปัญหาคางเบี้ยวมามีปัญหาจากอะไร ซึ่งการรักษาจะได้ผลลัพธ์ที่ดี และปลอดภัยต้องอยู่ภายใต้การดูแลโดยศัลยแพทย์ที่มีประสบการณ์ที่สามารถประเมินปัญหาได้อย่างแม่นยำ เลือกเทคนิคการผ่าตัดเพื่อแก้ไขได้อย่างตรงจุดและครอบคลุมมากที่สุด สำหรับผู้ที่มีปัญหาคางเบี้ยวไม่ว่าจะกระทบกับความมั่นใจหรือส่งผลกับการใช้ชีวิต แนะนำให้เข้ามาปรึกษากับทีมแพทย์ของ Vincent Clinic Plastic Surgery เพื่อรับการประเมินและวางแผนการรักษาที่เหมาะสมค่ะ

Scroll to Top
Generic selectors
Exact matches only
Search in title
Search in content
Post Type Selectors
"><font style="vertical-align: inherit
"><font style="vertical-align: inherit