อีกหนึ่งปัญหาที่ทำให้ใบหน้าไม่เรียวสวยตามต้องการ คือ คางบุ๋ม ถึงแม้จะเป็นจุดเล็ก ๆ ของใบหน้า แต่สามารถส่งผลกระทบกับโครงหน้าโดยรวมได้อย่างชัดเจน เพราะคางเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยในการสร้าง หน้าวีเชฟ หรือทำให้ใบหน้าเรียวได้ การที่เกิดลักษณะของคางที่มีรอยบุ๋มหรือยุบลงไปไม่ได้สัดส่วน สามารถทำให้ใบหน้าไม่สมส่วน คางไม่เท่ากันขาดสมดุล เป็นต้น สำหรับใครที่ยังสงสัยว่าปัญหานี้คืออะไร เกิดขึ้นได้จากสาเหตุอะไร แก้ไขได้ด้วยวิธีใดบ้าง แต่ละวิธีในการแก้ปัญหาเหมาะกับใคร สามารถอ่านเพิ่มเติมได้จากข้อมูลต่อไปนี้จาก Vincent Clinic Plastic Surgery
Key Takeaways
- คางบุ๋ม คือ ลักษณะคางที่มีร่องยุบตรงกลาง ส่งผลให้ใบหน้าดูแข็ง ไม่ละมุน โดยเฉพาะในผู้หญิง
- สาเหตุของคางบุ๋มอาจเกิดจาก พันธุกรรม, การแสดงสีหน้า, หรือ อายุที่มากขึ้น
- คางบุ๋มอาจกระทบต่อความสมดุลของโครงหน้า และทำให้ดู หน้าไม่มีวีเชฟ
- การรักษามีหลายวิธี เช่น ฟิลเลอร์คาง, โบท็อกซ์คาง, ฉีดไขมัน, หรือผ่าตัดเสริมคาง
- ราคาการรักษาเริ่มต้นตั้งแต่ 4,000 – 40,000 บาท ขึ้นอยู่กับวิธีที่เลือก
- ความเชื่อบางส่วนมองว่า คางบุ๋มมีเสน่ห์ และเป็นลักษณะเฉพาะที่สะท้อนโหงวเฮ้งของบุคคล
- ไม่จำเป็นต้องแก้ไขคางบุ๋มหากคุณรู้สึกมั่นใจ เพราะความงามที่แท้จริงขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของตัวเอง
คางบุ๋ม คืออะไร?
คางบุ๋ม คือ ลักษณะของร่องที่เกิดขึ้นบริเวณตรงกลางของคาง อาจทำให้คางดูไม่เท่ากันได้ นอกจากนั้นยังส่งผลกระทบกับใบหน้าโดยรวมขาดสมดุลไม่ได้รูปทรงที่ควรจะเป็น หากเกิดขึ้นกับผู้หญิงจะทำให้ใบหน้าดูแข็ง หน้าดุ ดูแมน ไม่ละมุนหวานตามต้องการ
คางบุ๋ม เกิดจากอะไรได้บ้าง?
ลักษณะคางบุ๋มที่เกิดขึ้นกับทั้งผู้หญิงและผู้ชายมีสาเหตุที่แตกต่างกันออกไป โดยมีปัจจัยที่ทำให้เกิดปัญหาขึ้นที่บริเวณคางด้วยกันหลายสาเหตุ ดังนี้
พันธุกรรม
ลักษณะเฉพาะของร่างกายหรือโครงสร้างกระดูกสามารถส่งต่อกันในครอบครัวจากพ่อแม่สู่ลูกได้ เช่น ลักษณะของกระดูกตรงกลางคางมีร่องหรือบุ๋มลงไป กล้ามเนื้อมัดที่อยู่บริเวณคางมีการแยกออกจากกันจนทำให้เกิดเห็นเป็นรอยบุ๋ม เป็นต้น
อายุที่เพิ่มขึ้น
ส่งผลกระทบทำให้เซลล์ผิวเกิดการเสื่อมสภาพลง สูญเสียคอลลาเจนใต้ชั้นผิว ไขมันสลายตัว นอกจากนั้นอายุที่มากขึ้นยังทำให้เกิดปัญหากระดูกทรุดหรือฝ่อได้ จนเกิดเป็นรอยยุบขึ้นบริเวณคาง
แสดงสีหน้ามากเกินไป
สำหรับคนที่เวลามีความเครียดแล้วมักจะเม้มปากหรือมีการห่อริมฝีปากบ่อย ๆ จะทำให้กล้ามเนื้อบริเวณคางเกิดการหดเกร็ง ส่งผลทำให้เกิดเป็นก้อนแข็งบริเวณคางหรือผิวหนังเกิดการย่นเป็นคลื่นส่งผลให้กลายเป็นร่องบุ๋มตามมาได้ในอนาคต
คางบุ๋ม ดีไหม? เสน่ห์เฉพาะตัวหรือจุดด้อยที่ควรแก้
คางบุ๋ม เป็นลักษณะทางกายภาพที่บางคนอาจมองว่าเป็นจุดด้อย ทำให้ใบหน้าดูแข็ง ดูแมน หรือไม่ละมุน โดยเฉพาะในผู้หญิงที่ต้องการลุคหวานนุ่มนวล แต่ในอีกมุมหนึ่งก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่มองว่า คางบุ๋มมีเสน่ห์ เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ช่วยให้ใบหน้าดูโดดเด่น ไม่เหมือนใคร
ในศาสตร์โหงวเฮ้งก็มีการกล่าวถึงลักษณะคางไว้อย่างน่าสนใจ โดยเชื่อว่ารูปคางมีผลกับดวงชะตา บุคลิกภาพ ซึ่งความหมายของคางบุ๋มก็มีลักษณะโหงวเฮ้งที่แตกต่างกันไปตามเพศและความเชื่อของแต่ละคน เช่น
- ผู้ชายที่มีคางบุ๋ม บางคนมองว่าเป็นลักษณะของคนมีเสน่ห์ มีความเป็นผู้นำ แต่บางแนวเชื่อเกี่ยวกับโหงวเฮ้ง อาจมองว่าอารมณ์ขึ้นลง ไม่แน่นอน
- ผู้หญิงที่มีคางบุ๋ม อาจถูกมองว่ามีบุคลิกแข็ง ไม่อ่อนโยน แต่ก็มีบางคนที่มองว่านั่นคือเสน่ห์แบบเฉพาะตัว
ดังนั้น หากถามว่า คางบุ๋มดีไหม? คำตอบก็ขึ้นอยู่กับมุมมองส่วนตัว ความมั่นใจ และภาพลักษณ์ที่คุณต้องการสื่อออกไป หากคุณรู้สึกดีกับลักษณะใบหน้าปัจจุบัน และมองว่าคางบุ๋มคือลายเซ็นของตัวเอง ก็ไม่มีความจำเป็นต้องแก้ไข แต่หากรู้สึกว่าคางบุ๋มส่งผลต่อความมั่นใจ ใบหน้าดูแข็งหรือไม่รับกับบุคลิกภาพ ก็สามารถเลือกวิธีปรับรูปคางให้เหมาะสมได้ในแบบที่คุณต้องการ
คางบุ๋ม ส่งผลต่อใบหน้าอย่างไร?
คางบุ๋มอาจจะไม่ได้ทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ แต่ส่งผลกับความสมดุลของโครงหน้าโดยรวมได้ เนื่องจากคางคือหนึ่งในสัดส่วนทองคำของใบหน้า เป็นอีกส่วนสำคัญที่ทำให้ใบหน้าโดยรวมได้รูปมากขึ้น หากเกิดปัญหาขึ้นกับบริเวณนี้จะทำให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมาดังนี้
- ทำให้ใบหน้าโดยรวมเสียสมดุล ไม่สมส่วน
- ทำให้หน้าแข็ง หน้าดูดุ ไม่ละมุน หน้าเครียดตลอดเวลา
- ทำให้หน้าดูแก่กว่าวัย หน้าดูเหนื่อยล้า
- ทำให้หน้าดูสั้น ขาดความเรียว หน้าไม่มีวีเชฟ
คางบุ๋มต่างจากรูปคางแบบอื่นอย่างไร?
คางบุ๋ม สามารถสังเกตได้ง่าย ๆ หากมีร่องหรือมีรอยบุ๋มตรงกลางคางแสดงว่ากำลังมีปัญหาเกิดขึ้น โดยมีความแตกต่างจากรูปทรงคางอื่น ๆ ดังนี้
- คางตัด เป็นลักษณะของรูปทรงคางที่เรียบตรงเป็นระนาบเดียวกันกับพื้น ทำให้ใบหน้าดูแข็ง หน้าดูเหลี่ยม
- คางสั้น เป็นลักษณะของคางที่มีสัดส่วนสั้นกว่าปกติ ทำให้ใบหน้าดูสั้นไม่เรียวสวย ขาดมิติ โรงหน้าขาดสมดุล
- คางเหลี่ยม ลักษณะคางที่ด้านข้างมีเหลี่ยมชัดเจน มุมคางเด่น มักเกิดจากกระดูกขากรรไกรล่างที่กว้าง ทำให้ใบหน้าดูแมนหรือขาดความนุ่มนวล
- คางแหลม / คางยาว เป็นลักษณะของคางที่มีปลายเรียวเล็กหากมีสัดส่วนที่รับกับใบหน้าจะทำให้หน้าดูยาวเรียวสวยได้รูป แต่ถ้าปลายคางแหลมยาวมากเกินไปเหมือนคางแม่มด จะทำให้หน้าเสียสมดุล ไม่เป็นธรรมชาติ ดูแก่กว่าวัย
- คางยื่น เป็นลักษณะของโครงสร้างกระดูกคางที่ยื่นไปด้านหน้ามากกว่าปกติ ทำให้เหมือนหน้าหัก หน้าสั้น หน้าไม่ได้สัดส่วน ในกรณีของคนที่ขากรรไกรยื่นมาด้านหน้ามากเกินไปจนฟันสบกันไม่ได้ สามารถส่งผลกระทบกับการเคี้ยวอาหารหรือการพูดได้
สรุปความแตกต่างคือ คางบุ๋มจะมีจุดเด่นตรงร่องยุบกลางคางที่อาจดูเป็นเอกลักษณ์สำหรับบางคน แต่หากเกิดลึกหรือไม่สมดุล อาจทำให้ใบหน้าดูแข็ง เครียด หรือขาดความละมุน ซึ่งแตกต่างจากคางประเภทอื่นที่มีปัญหาในเชิงความยาว รูปทรง หรือโครงกระดูกโดยรวม การเลือกวิธีแก้ไขจึงควรขึ้นอยู่กับลักษณะปัญหาเฉพาะบุคคล และผลลัพธ์ด้านความงามที่ต้องการ
คางบุ๋มเป็นอันตรายไหม? จำเป็นต้องรักษาหรือเปล่า?
สำหรับปัญหาคางบุ๋มนั้น โดยทั่วไปไม่ได้ส่งผลเสียต่อสุขภาพ แต่ส่งผลกระทบต่อโครงหน้าได้อย่างชัดเจน ทำให้ขาดความมั่นใจ หน้าดูแข็ง หน้าดุ ไม่ละมุน ดูเหนื่อยล้า แก่กว่าวัย ไม่เป็นธรรมชาติ หากแก้ไขได้จะช่วยให้ใบหน้าดูเด็กลง ได้สัดส่วน ละมุนสวยมากขึ้น
วิธีรักษาคางบุ๋มมีกี่แบบ? วิธีไหนเหมาะกับใคร?
สำหรับวิธีรักษาคางบุ๋มมีด้วยกันหลายวิธี ซึ่งแต่ละวิธีเหมาะกับปัญหาที่แตกต่างกันออกไป นอกจากนั้นยังให้ผลลัพธ์ที่ไม่เหมือนกันอีกด้วย จึงต้องให้แพทย์ช่วยประเมินและเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสม โดยมีวิธีที่ได้รับความนิยมเลือกใช้ ดังนี้
โปรแกรมฉีดไขมันคาง
วิธีนี้แพทย์จะดูดเอาไขมันจากตำแหน่งต่าง ๆ ในร่างกายของคนไข้ เข้าสู่กระบวนการคัดแยกให้เหลือแต่เซลล์ไขมันดีและนำกลับมาฉีดเข้าไปที่บริเวณคาง เพื่อเติมเต็มส่วนที่ยุบหายไป ร่องตื้นขึ้น แต่ข้อเสียคือไขมันสามารถสลายไปได้บางส่วนอาจทำให้ผิวไม่เรียบเนียนคางไม่เท่ากัน นอกจากนั้นยังไม่สามารถเสริมคางให้มีลักษณะที่ยาวมาก ๆ ได้ ตกแต่งทรงได้ไม่หลากหลายตามต้องการ ผลลัพธ์ไม่คงอยู่ถาวร เหมาะกับคนที่มีปัญหาไม่เยอะ ไม่อยากฉีดสารแปลกปลอมเข้าร่างกายและไม่ต้องการผ่าตัด
โปรแกรมโบท็อกซ์
โบท็อกซ์ คือการฉีดโบทูลินัม ท็อกซิน เข้าไปในตำแหน่งกล้ามเนื้อบริเวณคางที่ดึงรั้งทำให้เกิดรอยบุ๋มหรือผิวย่นเป็นคลื่น จึงเหมาะกับคนปัญหาเกิดจากกล้ามเนื้อ ไม่ใช่โครงสร้างกระดูก
โปรแกรมฟิลเลอร์คาง
เป็นการใช้ฟิลเลอร์คางประเภท Hyaluronic Acid ฉีดเข้าไปที่บริเวณคางเพื่อเติมร่องหรือรอยบุ๋มให้ตื้นขึ้น ทั้งยังสามารถช่วยปรับรูปทรงคางให้รับกับใบหน้ามากขึ้น เติมเต็มให้ผิวเรียบเนียนเต่งตึงได้ แต่ไม่สามารถฉีดให้คางยาวมาก ๆ เกิน 1 ซม. ทั้งยังไม่คงอยู่ถาวรเนื่องจากเป็นสารที่สามารถสลายไปได้ตามธรรมชาติ จึงเหมาะกับคนที่มีปัญหาไม่รุนแรงมากและไม่ต้องการผ่าตัด
โปรแกรมผ่าตัดเสริมคาง
เสริมคาง เป็นการใช้เทคนิคการผ่าตัดเปิดแผลบริเวณคางและใส่ซิลิโคนซึ่งได้รับการตกแต่งเหลาทรงมาแล้วเข้าไปในตำแหน่งที่ต้องการแก้ไขปัญหา ช่วยให้คางได้ทรงสวยรับกับใบหน้า สามารถปรับทรงคางได้หลากหลาย เหมาะกับคนที่ต้องการเสริมคางยาวมากกว่า 1 ซม. ต้องการผลลัพธ์ที่คงอยู่ถาวร มีปัญหาที่ค่อนข้างซับซ้อน ทั้งยังสามารถแก้ไขปัญหาได้ถึงโครงสร้างกระดูก เห็นความเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นหลังทำ (ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับรายบุคคล)
เจาะลึก : ฉีดฟิลเลอร์คางกับเสริมซิลิโคนคาง ต่างกันอย่างไร อันไหนดีกว่ากัน?
ผ่าตัดแก้คางบุ๋ม เหมาะกับใคร?
สำหรับคนที่เหมาะกับการผ่าตัดเสริมคางเพื่อแก้คางบุ๋มมีด้วยกันหลายกลุ่ม ซึ่งมีปัญหาและความต้องการที่ไม่เหมือนกัน โดยมีรายละเอียดดังนี้
- เหมาะกับคนที่ต้องการผลลัพธ์ที่ถาวร
- เหมาะกับคนที่มีปัญหาค่อนข้างรุนแรง ต้องแก้ไขที่โครงสร้างกระดูกคาง
- เหมาะกับคนที่มีปัญหาที่กระดูกขากรรไกร
- เหมาะกับคนที่ต้องการเสริมคางยาวมากกว่า 1 ซม.
- เหมาะกับคนที่เคยฉีดสารเติมเต็มมาแล้วแต่ไม่พึงพอใจ แก้ปัญหาได้ไม่ครอบคลุม หรือเห็นผลน้อย
ใครบ้างที่ไม่ควรแก้คางบุ๋ม?
สำหรับการแก้คางบุ๋มนั้น ถึงแม้จะสามารถช่วยปรับรูปหน้าให้ได้สัดส่วน เข้ารูปมากขึ้น แต่ก็มีคนที่ไม่เหมาะกับการแก้ไขปัญหานี้เช่นกัน ได้แก่
- คนที่พึงพอใจกับรูปทรงคางปัจจุบันแล้ว เช่น คุณผู้ชายที่ต้องการให้ใบหน้าดูขรึม หน้าดุ หน้าแมนมากขึ้น เป็นต้น
- คนที่มีโรคประจำตัวบางประเภท
- คนที่ยังไม่ต้องการพักฟื้นหรือดูแลตัวเองหลังทำ เนื่องจากแต่ละวิธีมีการดูแลที่แตกต่างกันออกไป
เตรียมตัวก่อนทำและดูแลหลังทำอย่างไร?
เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ออกมาดีและไม่เกิดผลข้างเคียงจากการแก้คางบุ๋มไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดก็ตาม แนะนำให้เตรียมตัวก่อนทำให้พร้อม นอกจากนั้นควรดูแลตัวเองตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด จะช่วยป้องกันการเกิดปัญหาตามมาในอนาคตได้ โดยมีวิธีการเตรียมตัวและดูแลตัวเอง ดังนี้
วิธีเตรียมตัวก่อนแก้คางบุ๋ม
- หากมีประวัติแพ้ยา โรคประจำตัว หรือยาที่รับประทานเป็นประจำ ต้องแจ้งให้แพทย์ทราบทุกครั้งก่อนเข้ารับบริการ
- งดอาหาร วิตามิน หรือยา ที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือดอย่างน้อยประมาณ 1 – 2 สัปดาห์
- งดสูบบุหรี่หรืองดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก่อนเข้ารับบริการประมาณ 3 – 5 วัน
- ระวังอย่าให้ผิวบริเวณคางเกิดการอักเสบหรือมีการระคายเคืองที่รุนแรง
ดูแลหลังแก้คางบุ๋ม
- สามารถใช้การประคบเย็นเพื่อช่วยลดอาการบวมในช่วง 1 – 3 วันแรกหลังทำ
- งดจับ บีบ กด สัมผัสแรง ๆ หรือเท้าคาง ในช่วงแรกหลังทำ
- งดออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมหนัก ๆ ในช่วงแรกหลังทำ
- สำหรับคนที่ฉีดสารเติมเต็มควรระวังอย่าอยู่ต่อหน้าเตาหรือหม้อต้มที่มีความร้อนสูง งดเข้าซาวน่า เพื่อให้ฟิลเลอร์เซ็ตตัวเต็มที่เสียก่อน
- สำหรับคนที่ ผ่าตัดเสริมคางเทคนิคแผลใน ควรบ้วนปากทุกครั้งหลังรับประทานอาหาร เพื่อล้างเศษอาหารและสิ่งสกปรกออกไป
- หากพบอาการผิดปกติควรเข้าพบแพทย์โดยทันที
- ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
แก้คางบุ๋มราคาเท่าไหร่?
สำหรับราคาในการแก้ไขปัญหาคางบุ๋มนั้น แตกต่างกันออกไปในแต่ละรายบุคคล ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ระดับความรุนแรงของปัญหา วิธีการรักษาที่ใช้ ปริมาณของผลิตภัณฑ์ที่ใช้ ยี่ห้อของผลิตภัณฑ์หรือซิลิโคนเสริมคาง เทคนิคในการรักษา ความต้องการของคนไข้ และประสบการณ์ของแพทย์ เป็นต้น
- โปรแกรมฉีดไขมันคาง Fat Grafting บริเวณคาง ประมาณ 12,000 – 25,000 บาท ขึ้นอยู่กับจำนวนเซลล์ไขมันที่ฉีด และเทคนิคที่ใช้ เช่น Nano fat หรือ Pure fat
- โปรแกรมโบท็อกซ์คาง เพื่อคลายกล้ามเนื้อดึงร่องคาง ประมาณ 4,000 – 8,000 บาท
- โปรแกรมฉีดฟิลเลอร์แก้คางบุ๋มจะอยู่ที่ประมาณ 10,000 – 30,000 บาท
- โปรแกรมผ่าตัดเสริมคางเพื่อแก้ไขปัญหาคางที่มีรอยบุ๋มจะอยู่ที่ประมาณ 15,000 – 40,000 บาท
เพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาตรงกับความต้องการ และปลอดภัยสูงสุด ควรปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนและประเมินค่าใช้จ่ายเฉพาะรายบุคคลก่อนเข้ารับบริการ
คำถามที่พบบ่อย (FAQ) เกี่ยวกับคางบุ๋ม
หากใครที่ยังมีข้อสงสัยหรือยังกังวลเกี่ยวกับปัญหาคางบุ๋ม ในเนื้อหานี้เราได้รวบรวมส่วนหนึ่งของคำถามที่พบได้บ่อยเอาไว้ให้เป็นข้อมูลเพิ่มเติมประกอบการตัดสินใจ
Q : คางบุ๋มเป็นลักษณะผิดปกติของใบหน้าหรือไม่?
A : การที่คางมีรอยบุ๋มเป็นร่องลงไปนั้น ไม่นับว่าเป็นความผิดปกติของใบหน้า เนื่องจากเป็นลักษณะเฉพาะของบุคคลที่ส่งต่อกันมาจากพันธุกรรมมากกว่า ทำให้เสียความมั่นใจ แต่ในรายที่มีปัญหารุนแรงจนกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน เกิดปัญหาที่โครงสร้างกระดูกจนทำให้ใบหน้าผิดรูปทรง ถ้าในกรณีนี้ถึงจะนับว่าเป็นความผิดปกติของใบหน้า
Q : ฉีดฟิลเลอร์คางบุ๋มอันตรายไหม?
A : สำหรับการฉีดสารเติมเต็มประเภท Hyaluronic Acid เพื่อแก้ไขปัญหาคางบุ๋มไม่อันตราย เนื่องจากเป็นสารที่สามารถสลายไปได้เองตามธรรมชาติ ผ่านการรับรองจาก อย. จึงมั่นใจในเรื่องของความปลอดภัย
Q : คางบุ๋มจะกลับมาอีกหลังฟิลเลอร์สลายหรือไม่?
A : หลังจากที่ฟิลเลอร์คางสลายไป มีโอกาสที่รอยบุ๋มจะกลับมาได้ จึงต้องฉีดเติมอย่างต่อเนื่องเพื่อช่วยคงผลลัพธ์ให้คงอยู่ได้นานขึ้น
Q : ผ่าตัดศัลยกรรมคางบุ๋มต้องพักฟื้นนานไหม?
A : สำหรับการพักฟื้นหลังการผ่าตัดคางนั้นจะอยู่ที่ประมาณ 1 – 2 สัปดาห์ สามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติ ขึ้นอยู่กับการฟื้นฟูร่างกายของแต่ละคนที่ไม่เท่ากัน
Q : การแก้คางบุ๋มจำเป็นต้องเสริมคางด้วยหรือไม่?
A : การจะเลือกว่าควรผ่าตัดเสริมคางหรือไม่นั้น แพทย์จะเป็นผู้ประเมินปัญหา วิเคราะห์โครงสร้างคาง และเลือกวิธีการที่เหมาะสม ประกอบกับความต้องการของคนไข้ หากคนไข้มีปัญหาค่อนข้างน้อย ไม่อยากผ่าตัด ก็สามารถเลือกวิธีการฉีดฟิลเลอร์ได้ แต่ถ้าคนไข้มีปัญหาค่อนข้างเยอะ ต้องปรับแก้โครงสร้างกระดูก ต้องการปรับทรงคางให้รับกับใบหน้า หรือต้องการผลลัพธ์ที่คงอยู่ถาวร แพทย์จะพิจารณาเลือกผ่าตัดเสริมคางด้วยซิลิโคน
Q : แก้คางบุ๋มครั้งเดียวอยู่ได้ถาวรหรือไม่?
A : หากต้องการผลลัพธ์ที่คงอยู่ถาวร แนะนำให้ใช้วิธีการผ่าตัดเสริมคาง ซึ่งเป็นการใส่ซิลิโคนเข้าไปในตำแหน่งที่ต้องการ ทั้งยังสามารถแก้ไขปัญหาหรือปรับโครงสร้างกระดูกได้ แต่หากใช้การฉีดฟิลเลอร์คางจะต้องฉีดเติมเรื่อย ๆ เนื่องจากสามารถสลายไปได้ตามธรรมชาติ ไม่คงอยู่ถาวร
สรุป
คางบุ๋ม เป็นอีกหนึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นได้กับทั้งผู้ชายและผู้หญิง สามารถส่งผลกระทบกับโครงหน้าโดยรวมได้อย่างชัดเจน ในปัจจุบันมีวิธีการรักษาหลายวิธีให้เลือกใช้ทั้งแบบผ่าตัดและไม่ผ่าตัด สำหรับคนที่มีปัญหาค่อนข้างรุนแรง เกิดปัญหาที่โครงสร้างกระดูก อยากได้ทรงคางที่สวยรับกับใบหน้า และต้องการผลลัพธ์ที่ถาวร การผ่าตัดเสริมคางเป็นอีกทางเลือกที่ได้รับความนิยมมาก หากใครที่ไม่แน่ใจว่าจะแก้ไขปัญหาด้วยวิธีไหนถึงจะดีและเหมาะกับตัวเราเอง แนะนำให้เข้ามาปรึกษาทีมแพทย์ผู้มีประสบการณ์ของ Vincent Clinic Plastic Surgery เพื่อรับการประเมิน วิเคราะห์ และออกแบบการรักษาเฉพาะรายบุคคล