ปัญหาเกี่ยวกับชั้นตาที่พบได้บ่อยของคนเอเชียคือ ตาหลบใน ซึ่งทำให้มองเห็นชั้นตาไม่ชัด ตาดูเล็ก ไม่สดใส สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัยด้วยกัน ในบางกรณีอาจลุกลามกลายเป็นปัญหาที่รบกวนการใช้ชีวิตประจำวันหรือส่งผลเสียต่อสุขภาพได้เช่นกัน สำหรับใครที่สงสัยว่าปัญหาชั้นตาที่มีลักษณะหลบในคืออะไร สาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหามีอะไรบ้าง แก้ปัญหาได้ด้วยวิธีใดบ้าง ทำตาสองชั้นช่วยแก้ปัญหานี้ได้ไหม หลังรักษาแล้วควรดูแลตัวเองอย่างไร สามารถติดตามอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจากเนื้อหาต่อไปนี้ เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจ
ตาหลบใน คืออะไร?
ตาหลบใน คือ ลักษณะของชั้นตาที่ถูกหนังตาตกลงมาบดบังจนมองไม่เห็นชั้นตาชัดเจน ทำให้ดวงตาแลดูเล็ก ไม่สดใส เหมือนคนง่วงตลอดเวลา ใบหน้าไม่มีมิติ เวลาแต่งหน้าจะค่อนข้างยากเนื่องจากต้องใช้เวลาในการสร้างชั้นตาหลอกนานกว่าคนที่มีชั้นตาชัดเจนอยู่แล้ว
สาเหตุของตาหลบใน
สาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหา ชั้นตาหลบใน สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัยมีความรุนแรงของผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน โดยมีสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหากับชั้นตาดังนี้
- บริเวณเปลือกตามีไขมันเยอะ ในตำแหน่งนี้เป็นจุดที่สามารถมีไขมันมาสะสมใต้ชั้นผิวได้ เมื่อไขมันพอกพูนมากขึ้นจะส่งผลทำให้เปลือกตาหย่อนคล้อยลงมาบดบังชั้นตาได้ ทำให้มองไม่เห็นชั้นตาที่มีอยู่
- บริเวณหนังตาหย่อนคล้อย อาการนี้เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น อายุที่เพิ่มมากขึ้น พันธุกรรม พฤติกรรมการใช้ชีวิต ขยี้ตาบ่อย กล้ามเนื้ออ่อนแรง เป็นต้น ทำให้หนังตาหย่อนลงมาทับชั้นตาเดิมที่มีอยู่
- เกิดจากการทำศัลยกรรมตา สาเหตุนี้สามารถเกิดขึ้นได้จากการผ่าตัดตาสองชั้นโดยแพทย์ที่ไม่มีประสบการณ์ อาจประเมินคลากเคลื่อน ใช้เทคนิคไม่เหมาะสม จนทำให้การตัดแต่งหนังตาส่วนเกินทำออกมาได้ไม่พอดีกับคนไข้ ทำให้เกิดปัญหานี้ขึ้นได้เช่นกัน
ตาหลบในต่างจากหนังตาตกอย่างไร?
สำหรับตาหลบใน และ หนังตาตก ล้วนแล้วแต่ทำให้เกิดปัญหาขึ้นที่บริเวณดวงตาได้ทั้งคู่ แต่มีความแตกต่างกันออกไปในเรื่องของลักษณะปัญหาและความรุนแรง โดยมีความแตกต่างกัน ดังนี้
- ชั้นตาหลบใน เป็นลักษณะของชั้นตาที่ถูกบดบังจนมองเห็นไม่ชัดเจน สามารถพบได้ทุกวัย ไม่ค่อยมีปัญหากับการมองเห็น
- หนังตาตก เป็นลักษณะของหนังตาที่ห้อยลงมาจนปิดตาดำมากกว่าปกติ หากเป็นหนักอาจทำให้บดบังการมองเห็น มักพบได้บ่อยในคนที่มีอายุตั้งแต่ประมาณ 40 ปีขึ้นไป
วิธีแก้ตาหลบใน มีอะไรบ้าง?
สำหรับวิธีการแก้ปัญหาตาหลบใน สามารถทำได้ด้วยกันหลายวิธี ขึ้นอยู่กับระดับปัญหา สาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหา สภาพผิวบริเวณหนังตา ความต้องการของคนไข้ เป็นต้น โดยแพทย์จะเป็นผู้ประเมินเพื่อหาวิธีการรักษาที่เหมาะกับแต่ละคนมากที่สุด โดยมีวิธีการแก้ไขต่าง ๆ ดังนี้
- แก้ปัญหาชั้นตาหลบในโดยไม่ต้องผ่าตัด เป็นการเลือกใช้เครื่องยกกระชับบริเวณผิวรอบดวงตาเพื่อทำให้ชั้นผิวภายในหดตัว ส่งผลให้เปลือกตาถูกดึงยกขึ้นเผยให้เห็นชั้นตาที่ถูกปิดไว้ได้ชัดเจน เหมาะกับคนที่มีปัญหาค่อนข้างน้อย มีปัญหาคิ้วตกหรือหนังตาตกไม่มาก
- แก้ปัญหาชั้นตาหลบในด้วยการศัลยกรรม อีกหนึ่งทาเลือกที่ได้รับความนิยมมาก เนื่องจากช่วยแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการใช้เทคนิคในการป่าตัดเข้าไปจัดระเบียบชั้นผิว ขั้นไขมัน และตัดแต่งผิวหนังส่วนเกินออกไป ทั้งยังสามารถแก้ไขปัญหากล้ามเนื้อตาอ่อนแรงได้อย่างตรงจุด เห็นผลลัพธ์ที่ดีขึ้นชัดเจน โดยมีเทคนิคการผ่าตัดที่ใช้หลากหลาย เช่น แบบกรีดสั้น แบบกรีดยาว แบบเย็บสามจุด เป็นต้น ขึ้นอยู่กับแพทย์เป็นผู้ประเมินและเลือกใช้ให้เหมาะกับคนไข้แต่ละคนมากที่สุด
ข้อดีของการแก้ตาหลบใน
การแก้ตาหลบใน มีข้อดีด้วยกันหลายอย่าง ซึ่งสามารถช่วยปรับลุค เปลี่ยนบุคลิกภาพ สร้างความมั่นใจให้มากขึ้นได้ โดยมีข้อดีดังนี้
- ช่วยปรับรูปทรงตาให้โตขึ้น มีความสดใส หน้าดูเด็กลง
- มองเห็นชั้นตาชัดเจนมากขึ้น ดวงตามีมิติ แต่งหน้าง่ายขึ้น
- แก้ปัญหาได้อย่างตรงจุด ให้ผลลัพธ์ตาสองชั้นแบบถาวร
ดูแลตัวเองหลังแก้ตาหลับใน
เพื่อช่วยลดผลข้างเคียงและให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีหลังแก้ชั้นตาหลบใน ควรดูแลตัวเองตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด โดยสามารถดูแลตัวเองเบื้องต้นได้ดังนี้
- ภายใน 48 ชั่วโมงหลังทำ แนะนำให้ประคบเย็นบริเวณรอบดวงตาเพื่อช่วยบรรเทาอาการบวมให้ยุบเร็วขึ้น โดยสามารถใช้ผ้าก๊อซวางคลุมแผลผ่าตัดไว้เพื่อป้องกันไม่ให้ถุงเจลประคบเย็นสัมผัสแผลโดยตรง
- หากมีเลือกซึมบริเวณแผลผ่าตัด แนะนำให้ใช้สำลีสะอาดกดเบา ๆ บริเวณแผล จนกว่าเลือกจะหยุดซึมออกมา
- ควรนอนหมอนสูงในช่วง 2 วันแรกหลังทำ เพื่อลดอาการบวมให้น้อยลง
- ควรทำความสะอาดแผลทุกวัน โดยใช้สำลีพันก้านไม้ชุบน้ำเกลือและเช็ดเบา ๆ บริเวณแผลผ่าตัด วันละ 1 – 2 ครั้ง
- ทายาฆ่าเชื้อแบบขี้ผึ้งวันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็น ป้องกันการติดเชื้อที่แผลผ่าตัด
- ในช่วงแรกที่แผลผ่าตัดยังไม่หายดี ห้ามให้แผลโดนน้ำ เพราะอาจเพิ่มโอกาสที่จะทำให้แผลติดเชื้อได้มากขึ้น
- หลังจากผ่าตัดมาแล้วครบ 3 วัน แนะนำให้ประคบอุ่นเพื่อช่วยลดเลือนรอยเขียวช้ำให้น้อยลง และรอยช้ำหายไวขึ้น
- งดอาหารเสริม วิตามิน หรือยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือดในช่วงแรก จนกว่าแผลจะหายดี
- งดอาการหมักดอง อาหารทะเล สูบบุหรี่ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ในช่วง 2 สัปดาห์แรกหลังทำ เพื่อช่วยให้แผลหายไว ร่างกายฟื้นฟูรวดเร็ว ไม่เกิดการอักเสบติดเชื้อ
- ก่อนออกจากบ้านทุกครั้งควรสวมแว่นตากันแดดหรือแว่นตาป้องกันลม เพื่อปกป้องแผลจากมลภาวะ ฝุ่นละออง และสิ่งสกปรกที่จะทำให้เกิดอาการอักเสบติดเชื้อได้มากขึ้น
แก้ไขตาหลบใน ราคาเท่าไหร่?
สำหรับราคาค่าแก้ตาหลบในมีความแตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของปัญหา สภาพผิว ความต้องการของคนไข้ เทคนิคที่ใช้ในการรักษา และประสบการณ์ของแพทย์ โดยราคาทั่วไปจะเริ่มต้นที่ประมาณ 15,000 – 50,000 บาท หากเป็นเคสที่มีปัญหาค่อนข้างซับซ้อนหรือเป็นเคสแก้จากการทำศัลยกรรมมาก่อนหน้านี้ อาจจะต้องให้แพทย์ประเมินเพิ่มเติม
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับตาหลบใน (FAQ)
หากใครที่มีความสงสัยหรือต้องการทราบเพิ่มเติมเกี่ยวกับปัญหาตาหลบใน ในบทความนี้เราได้รวบรวมเอาส่วนหนึ่งของคำถามที่พบได้บ่อยเอาไว้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจ ตามหัวข้อต่อไปนี้
Q : ตาหลบในจำเป็นต้องผ่าตัดไหม?
A : ในกรณีของคนที่เป็นไม่รุนแรง ไม่ได้มีผลเสียต่อการใช้ชีวิตหรือสุขภาพ ไม่จำเป็นต้องผ่าตัด สามารถใช้นวัตกรรมยกกระชับหรือเทคนิคทางการแพทย์อื่น ๆ เข้าช่วยได้ แต่ถ้ามีปัญหาที่ค่อนข้างหนัก รบกวนการมองเห็น รวมไปถึงคนที่อยากแก้ไขแบบบถาวร แนะนำให้เข้ามาปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนการผ่าตัดที่เหมาะสมกับรายบุคคล
Q : ตาหลบในสามารถแก้ด้วยฟิลเลอร์ได้ไหม?
A : เนื่องจากปัญหาที่เกิดขึ้นกับบริเวณเปลือกตาที่หย่อนคล้อยลงมาบังชั้นตานั้น จะต้องเข้าไปแก้ไขในชั้นผิว เพื่อทำการจัดเรียงชั้นผิวให้ยกขึ้นและตัดแต่งผิวหนังส่วนเกินออกไป จึงไม่สามารถใช้การฉีดฟิลเลอร์ซึ่งเป็นหัตถการที่ใช้สำหรับเติมเต็มมาแก้ปัญหานี้ได้
สรุป
ตาหลบใน สามารถแก้ไขได้ด้วยการผ่าตัดตาสองชั้น ด้วยการใช้เทคนิคทางการแพทย์เข้าไปตัดแต่งผิวหนังส่วนเกินออก จัดระเบียบชั้นตาให้เข้าที่ เพื่อให้รับกับใบหน้าของแต่ละคนมากที่สุด สามารถช่วยให้ดวงตาดูโตขึ้น ชั้นตาชัดเจนขึ้น เพิ่มมิติให้ดวงตาสดใส ใบหน้าดูเด็กลง สำหรับใครที่ชั้นตาไม่ชัด หนังตาตก หรือมีปัญหาเกี่ยวกับบริเวณดวงตา แนะนำให้เข้ามาปรึกษากับแพทย์ผู้มีประสบการณ์ของ Vincent Clinic เพื่อรับการประเมินและออกแบบการรักษาให้เหมาะกับคนไข้แต่ละรายบุคคลมากที่สุด