Key Takeaway
- ศัลยกรรมดึงหน้า คือ การผ่าตัดเพื่อเข้าไปยกเนื้อเยื่อชั้น SMAS ขึ้นมาเย็บไว้ในตำแหน่งที่เหมาะสม ช่วยยกกระชับ ปรับรูปหน้า
- ช่วงวัยที่เหมาะกับการดึงหน้าโดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ประมาณ 40 ปีขึ้นไป เพราะปัญหาความหย่อนคล้อยเริ่มชัดเจนและมีความรุนแรงของปัญหาที่เพิ่มขึ้น
- คนที่อายุต่ำกว่า 40 ปี แต่มีปัญหาความหย่อนคล้อยที่ค่อนข้างหนัก สามารถผ่าตัดดึงหน้าได้
- ไม่จำเป็นต้องทำทั้งหน้า สามารถผ่าตัดดึงหน้าเฉพาะส่วนได้ โดยแพทย์จะเป็นผู้ประเมินและออกแบบการรักษาให้เหมาะสม
- สำหรับคนที่มีปัญหาความหย่อนคล้อยไม่มาก สามารถเลือกดึงหน้าแบบไม่ต้องผ่าตัดได้
มีหลายคนที่สงสัยว่าอยากทำดึงหน้าตอนอายุเท่าไหร่ดีที่สุด? เพราะปัญหาความหย่อนคล้อย ผิวเหี่ยวย่นไม่กระชับ เกิดขึ้นได้กับทุกช่วงวัย เกิดขึ้นได้กับทุกคน ด้วยสาเหตุที่แตกต่างกันออกไปตามปัจจัยของแต่ละคนที่ไม่เหมือนกัน รวมไปถึงในปัจจุบันมีวิธีการดูแลผิวพรรณให้กลับมาเต่งตึงหลากหลายวิธี ทำให้เกิดความสับสนว่าควรทำศัลยกรรมดึงหน้าคืออะไร สามารถทำได้ตอนอายุเท่าไหร่ ใครเหมาะกับการดึงหน้าบ้าง ก่อนทำควรพิจารณาจากอะไร ยกกระชับหน้ามีวิธีไหนบ้าง สามารถติดตามอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้จากข้อมูลต่อไปนี้
ศัลยกรรมดึงหน้า คืออะไร?
ศัลยกรรมดึงหน้า (Face Lift Surgery) คือ การผ่าตัดเข้าไปดึงเนื้อเยื่อชั้น SMAS และเย็บตรึงไว้ในตำแหน่งที่เหมาะสม เพื่อยกกระชับและปรับใบหน้าให้ได้รูปมากขึ้น สามารถแก้ปัญหาความหย่อนคล้อยที่เกิดขึ้นจากชั้นผิวลึกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ให้ผลลัพธ์ที่อยู่ได้นานประมาณ 5 – 10 ปีขึ้นไป ขึ้นอยู่กับการดูแลหลังทำ อายุที่เพิ่มขึ้น สภาพผิว พฤติกรรมการใช้ชีวิต และปัจจัยส่วนตัวอื่น ๆ ของคนไข้ ซึ่งสามารถส่งผลกระทบทำให้ผิวพรรณกลับมาหย่อนคล้อยในอนาคต
สัญญาณเตือนว่าควรผ่าตัดดึงหน้า!
สำหรับใครที่ยังไม่มั่นใจว่าถึงเวลาดึงหน้าแล้วหรือยัง แนะนำให้ลองสังเกตผิวพรรณ รูปหน้า และอาการอื่น ๆ ด้วยตัวเองรายละเอียดดังต่อไปนี้
- ผิวบริเวณแก้ม ขากรรไกร หรือช่วงกรอบหน้า มีความหย่อนคล้อย ห้อยย้อยลงมากจนสังเกตเห็นได้ชัดเจน
- ผิวบริเวณลำคอมีความเหี่ยวย่น ริ้วรอยเยอะ หย่อนคล้อยค่อนข้างมาก
- ร่องแก้มบริเวณจมูกยาวมาถึงมุมปากเริ่มลึกและชัดเจนมากขึ้นกว่าเดิม
- บริเวณหน้าผากและรอบดวงตาเกิดริ้วรอยที่ชัดและลึกถาวร แม้จะไม่ได้แสดงสีหน้าอารมณ์ก็ยังเห็นได้ชัดเจน
- ผิวขาดความยืดหยุ่น ไม่เต่งตึง แก้มเหี่ยว ห้อยย้อย
อายุเท่าไหร่ถึงเหมาะสมกับศัลยกรรมดึงหน้า? มีข้อควรรู้อะไรบ้าง?
โดยทั่วไปอายุที่นิยมเริ่มทำผ่าตัดดึงหน้าจะอยู่ที่ประมาณ 40 ปีขึ้นไป เพราะเป็นช่วงวัยที่จะเริ่มมีปัญหาความหย่อนคล้อยที่มากขึ้นสามารถเห็นได้อย่างชัดเจน โดยในแต่ละช่วงวัยจะมีปัญหาเรื่องของผิวพรรณและความหย่อนคล้อยที่แตกต่างกันออกไป โดยสามารถแบ่งกลุ่มช่วงวัยที่ควรพิจารณาดึงหน้าได้ดังนี้
ช่วงอายุ 30 – 40 ปี ควรเริ่มดูแลอย่างไร?
ในช่วงอายุนี้ผิวจะเริ่มมีการเสื่อมโทรมลง ชั้นหนังแท้เริ่มมีปัญหามากขึ้น คอลลาเจนและอิลาสตินเริ่มลดลง กระบวนการผลัดเซลล์ผิวทำงานได้ช้าลง ผิวจึงเริ่มมีปัญหามากขึ้น เช่น ความหมองคล้ำ ร่องลึก ริ้วรอย รวมไปถึงความหย่อนคล้อยในบางส่วน ซึ่งขึ้นอยู่กับปัจจัยส่วนตัวของแต่ละคนที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็น การดูแลผิวพรรณ สภาพผิว พันธุกรรม พฤติกรรมการใช้ชีวิต เป็นต้น หากปัญหาไม่หนักมากสามารถเริ่มใช้หัตถการยกกระชับเพื่อช่วยแก้ปัญหาได้ เช่น Ulthera SPT, Ultraformer MPT, ร้อยไหม เป็นต้น ขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงและต้นเหตุของการเกิดปัญหาที่ไม่เหมือนกัน แต่ถ้ามีปัญหาความหย่อนคล้อยมากในบางจุดของใบหน้าแพทย์อาจพิจารณาดึงหน้าเฉพาะจุด (Mini Face Lift)
ช่วงอายุ 40 – 50 ปี เหมาะกับการดึงหน้าจริงไหม?
ในช่วงอายุนี้จะเริ่มสูญเสียไขมันใต้ชั้นผิวค่อนข้างเยอะทำให้เกิดการยุบตัว เนื้อเยื่อที่ยึดระหว่างชั้นไขมันและกล้ามเนื้ออ่อนแรงลงทำให้ผิวหย่อนคล้อยมากขึ้น เกิดริ้วรอยและร่องลึกถาวรซึ่งเห็นได้อย่างชัดเจนทั่วใบหน้า การใช้นวัตกรรมยกกระชับแบบไม่ผ่าตัดอาจจะให้ผลลัพธ์ได้ไม่เต็มที่ หลายคนจึงนิยมเลือกผ่าตัดดึงหน้าเพราะแก้ปัญหาได้ตรงจุด เห็นผลได้อย่างชัดเจน
ช่วงอายุ 50 ปีขึ้นไป ยังสามารถดึงหน้าได้ไหม ควรระวังอะไรบ้าง?
สำหรับคนที่อายุ 50 ปีขึ้นไป ยังสามารถดึงหน้าได้และให้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นได้อย่างชัดเจนอีกด้วย ทั้งยังสามารถปรับรูปหน้าให้ได้สัดส่วนมากขึ้น ใบหน้าแลดูอ่อนเยาว์ลง แต่ก็มีข้อควรระวังด้วยเช่นกัน เนื่องจากอายุในช่วงวัยนี้ร่างกายผลิตคอลลาเจนและอีลาสตินได้น้อยลงมาก กระบวนการฟื้นฟูร่างกายทำได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ เนื้อเยื่อสมานตัวได้ไม่ดีแผลผ่าตัดอาจหายช้า รอยแผลอาจนูนได้มากกว่าหรือจางลงไปได้ไม่มากเท่ากับคนที่อายุน้อยกว่า นอกจากนั้นผลลัพธ์อาจจะคงอยู่ได้น้อยกว่าคนที่อาจประมาณ 30 – 40 ปี
ก่อนตัดสินใจผ่าตัดดึงหน้า ควรพิจารณาอะไรบ้าง?
ก่อนผ่าตัดดึงหน้า ควรศึกษารายละเอียดให้ครบถ้วนถูกต้อง เพื่อที่จะได้เข้าใจถึงขั้นตอน ผลข้างเคียง และข้อควรทราบต่าง ๆ เป็นต้น โดยมีรายละเอียดที่ควรพิจารณาดังนี้
- เทคนิคในการผ่าตัดดึงหน้า เพื่อให้มั่นใจว่าจะได้รับการรักษาที่เหมาะสมและปลอดภัย จึงต้องทราบว่าแพทย์ใช้เทคนิคอะไรในการแก้ปัญหา ซึ่งแพทย์จะต้องผ่าตัดเพื่อเข้าไปดึงเนื้อเยื่อในชั้น SMAS เพราะเป็นชั้นที่สามารถยกกระชับและปรับใบหน้าเรียบตึงได้อย่างเห็นผล หากเทคนิคที่ใช้ไม่ได้ดึงชั้น SMAS อาจจะไม่ได้ผลมากนักและผลลัพธ์คงอยู่ได้ไม่นาน รวมไปถึงเทคนิคการเย็บซ่อนแผลของแพทย์ที่จะช่วยให้แผลผ่าตัดมีขนาดเล็กและเนียนไปกับไรผม
- ปัญหาที่ต้องแก้ไข ใบหน้าของแต่ละคนมีปัญหาที่ไม่เหมือนกัน แพทย์จะประเมินและเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมมากที่สุด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ออกมาดี ปลอดภัย แก้ไขปัญหาได้ตรงจุด และตอบโจทย์ความต้องการของคนไข้ได้อย่างครอบคลุม หากใครที่ระดับปัญหาผิวหน้าไม่เยอะก็สามารถเลือกใช้หัตถการยกกระชับแบบไม่ผ่าตัดได้ หากปัญหาเกิดในชั้นผิวลึกหรือมีปัญหาค่อนข้างหนักก็สามารถเลือกการผ่าตัดเพื่อใช้รักษาได้
- ตำแหน่งที่ทำการรักษา ต้องเข้ารับการประเมินโดยแพทย์ผู้มีประสบการณ์เพื่อให้ทราบว่าตำแหน่งใดบ้างที่ควรได้รับการแก้ไขดึงหน้า บางกรณีอาจจะทำเพียงแค่ดึงหน้าเฉพาะส่วนไม่ต้องทำทั้งหน้า เช่น หน้าผาก กรอบหน้า หรือลำคอ เป็นต้น แต่ในรายที่อายุเยอะและมีปัญหาค่อนข้างหนัก อาจจะต้องผ่าตัดดึงผิวทั่วใบหน้าแบบ Full Face Lift ซึ่งค่าใช้จ่ายและผลลัพธ์ที่ได้ก็จะต่างกันออกไป
- ออกแบบและวิเคราะห์โครงหน้า นอกจากผิวพรรณที่เรียบตึง กระชับ หน้าแลดูอ่อนเยาว์แล้ว อีกหนึ่งผลลัพธ์คือการปรับรูปหน้าให้ได้สัดส่วนมากขึ้น โดยแพทย์จะต้องออกแบบร่วมกับคนไข้เพื่อให้ได้ใบหน้าที่เหมาะสมตามความต้องการของคนไข้ เมื่อได้รายละเอียดที่ครบถ้วนแพทย์จะกำหนดตำแหน่งในการผ่าตัดและดึงหน้าให้เป็นไปตามแผนการรักษาที่ได้วางไว้ตั้งแต่แรก
- สถานพยาบาลและแพทย์ แนะนำให้เลือกคลินิกที่น่าเชื่อถือ มีใบอนุญาตเปิดให้บริการอย่างถูกต้อง ดูแลโดยแพทย์ผู้มีประสบการณ์ สามารถอธิบายเทคนิคการผ่าตัดได้อย่างละเอียด ตอบข้อสงสัยหรือให้คำแนะนำได้อย่างครบถ้วน ห้องผ่าตัดได้มาตรฐานและแบ่งพื้นที่เป็นสัดส่วน
- สุขภาพและเวลาพักฟื้น คนไข้จะต้องไม่มีโรคประจำตัวหรือภาวะผิดปกติที่ส่งผลเสียต่อการผ่าตัด เช่น โรคหัวใจ โรคเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด โรคแพ้ภูมิตัวเอง หรือมีโรคติดต่ออื่น ๆ เป็นต้น รวมไปถึงความสามารถในการฟื้นตัวของผิวยังคงทำได้ดีอยู่หรือไม่เพราะมีผลกับระยะเวลาในการฟื้นตัวและประสิทธิภาพในการสมานแผลหลังผ่าตัด นอกจากนั้นต้องใช้ระยะเวลาในพักฟื้นประมาณ 1 – 2 สัปดาห์ (ขึ้นอยู่กับร่างกายของแต่ละคนที่แตกต่างกัน) จึงต้องเผื่อเวลาสำหรับพักฟื้นไว้ล่วงหน้าด้วย
ข้อดีของการเลือกศัลยกรรมดึงหน้าในช่วงอายุที่เหมาะสม
ข้อดีของการผ่าตัดดึงหน้าในช่วงอายุที่เหมาะสมมีด้วยกันหลายประการ ช่วยลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นหลังผ่าตัดให้น้อยลง ช่วยให้ได้ผลลัพธ์หลังผ่าตัดที่ดี และมีความปลอดภัย โดยมีรายละเอียดดังนี้
- หากทำในช่วงอายุที่เหมาะสม ผลลัพธ์จะคงอยู่ได้นาน เพราะความเสื่อมโทรมของผิวยังน้อยอยู่ จึงไม่ต้องทำซ้ำบ่อย
- หากทำในช่วงอายุที่เหมาะสม จะสามารถฟื้นตัวได้ไว แผลหายเร็ว ลดโอกาสเกิดแผลนูนให้น้อยลง เพราะคอลลาเจนและอีลาสตินยังผลิตได้ดี
- หากทำในช่วงอายุที่เหมาะสม อายุยังไม่มากเกินไป ผลลัพธ์จะมีความเป็นธรรมชาติมากกว่า เพราะไม่ต้องแก้ไขหรือปรับเปลี่ยนตำแหน่งกล้ามเนื้อมากนัก
ข้อควรรู้ก่อนตัดสินใจศัลยกรรมดึงหน้า
ศัลยกรรมดึงหน้าถึงแม้จะสามารถช่วยแก้ปัญหาความหย่อนคล้อยและปรับรูปได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ก็มีข้อควรรู้ที่ควรพิจารณาร่วมด้วย โดยมีรายละเอียดดังนี้
- หลังทำอาจเกิดรอยแผลเป็นขนาดเล็กซึ่งซ่อนไว้หลังไรผมหรือตามแนวใบหู ขึ้นอยู่กับเทคนิคที่ใช้ในการผ่าตัดและเย็บแผล
- ผลลัพธ์ไม่ถาวร สามารถคงอยู่ได้นานประมาณ 5 – 10 ปี ขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเอง อายุที่เพิ่มขึ้น และปัจจัยส่วนตัวของคนไข้แต่ละคนที่แตกต่างกัน
- ใช้ระยะเวลาพักฟื้นนานประมาณ 1 – 2 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่ผ่าตัดและร่างกายของคนไข้ที่ไม่เหมือนกัน
วิธีดึงหน้าแบบไม่ผ่าตัดมีอะไรบ้าง?
ในส่วนของคนที่อยากดึงหน้าโดยไม่ต้องผ่าตัด หากเป็นคนที่มีปัญหาค่อนข้างเยอะ ผลลัพธ์ที่ได้อาจจะน้อยหรือแทบไม่เห็นผล แต่ในส่วนของคนที่อายุไม่มากและมีปัญหาไม่เยอะการเลือกใช้นวัตกรรมยกกระชับแบบไม่ผ่าตัดก็อาจจะตอบโจทย์มากกว่า โดยมีหัตถการยกกระชับที่ได้รับความนิยม ดังนี้
- Ultherapy นวัตกรรมเครื่องยกกระชับด้วยคลื่นเสียงอัลตร้าซาวด์ ที่สามารถปล่อยพลังงานได้ลึกถึงชั้น SMAS ช่วยกระตุ้นคอลลาเจนได้ แพทย์สามารถมองเห็นชั้นผิวผ่านหน้าจอแสดงผลแบบ Real time ทำให้สามารถกำหนดตำแหน่งและความลึกที่จะปล่อยพลังงานได้อย่างแม่นยำ แต่อาจจะแก้ปัญหาในเคสของคนที่มีความหย่อนคล้อยมาก ๆ ไม่ได้ เพราะไม่สามารถเข้าไปดึงชั้นกล้ามเนื้อขึ้นมาขึงไว้ในตำแหน่งที่ต้องการได้เหมือนกับการผ่าตัด
- Thermage FLX ใช้คลื่นความถี่วิทยุ RF (Radiofrequency) ปล่อยพลังงานลงลึกสู่ผิวหนังเพื่อกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและกระชับผิว เหมาะกับผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อยเล็กน้อยถึงปานกลาง โดยเฉพาะในบริเวณกรอบหน้า แก้ม และลำคอ ข้อดีคือช่วยให้ผิวแน่นขึ้นโดยไม่ทำให้หน้าตอบ ปลอดภัยและไม่ต้องพักฟื้น
- Botox ยกกระชับหน้า การฉีดโบท็อกซ์เพื่อคลายกล้ามเนื้อที่ดึงหน้าลง เช่น บริเวณลำคอหรือกรามล่าง ทำให้ใบหน้าดูยกขึ้น เหมาะกับคนที่มีปัญหาหย่อนคล้อยจากกล้ามเนื้อทำงานมากเกินไป ข้อดีคือราคาย่อมเยา เห็นผลไว ข้อจำกัดคืออยู่ได้ประมาณ 4–6 เดือน และไม่ได้ยกเนื้อเยื่อที่หย่อนคล้อยลึกมาก
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับศัลยกรรมดึงหน้า (FAQ)
สำหรับใครที่มีคำถามเกี่ยวกับการศัลยกรรมดึงหน้าเพิ่มเติม เราได้รวบรวมเอาส่วนหนึ่งของคำถามที่พบบ่อยมาไว้ให้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจ ดังนี้
Q: ดึงหน้าแล้วต้องพักฟื้นนานแค่ไหน?
A: หลังผ่าตัดดึงหน้าจะพักฟื้นอยู่ที่ประมาณ 1 – 2 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเองหลังทำ การฟื้นตัวของคนไข้แต่ละคนที่ไม่เหมือนกัน และเทคนิคที่แพทย์ใช้ในการผ่าตัด โดยในช่วง 1 สัปดาห์แรกสามารถกลับมาทำกิจกรรมเบา ๆ ได้บ้าง โดยหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ออกแรงเยอะเพราะจะทำให้แผลผ่าตัดและกล้ามเนื้อหน้าเกิดอาการตึงจนอาจทำให้เกิดปัญหาตามมาได้
Q: ดึงหน้าแล้วแผลจะอยู่ตรงไหน? เห็นชัดหรือไม่?
A: แผลผ่าตัดโดยปกติมักจะถูกเย็บซ่อนไปหลังไรผมหรือตามแนวใบหู หากดูแลตัวเองตามแพทย์แนะนำอย่างเคร่งครัด แผลก็จะจางลงจนแทบมองไม่เห็น ประกอบกับเทคนิคการเย็บแผลของแพทย์ที่จะช่วยซ่อนให้แผลผ่าตัดเนียนไปกับผิวได้ดียิ่งขึ้น
Q: ศัลยกรรมดึงหน้าช่วยยกคอได้ด้วยไหม?
A: ในกรณีของคนที่ดึงหน้าอย่างเดียวไม่สามารถช่วยยกกระชับคอได้ หากผิวบริเวณคอมีปัญหาค่อนข้างมากแพทย์อาจจะพิจารณาผ่าตัดด้วยเทคนิคดึงคอ (Neck Lift) เพื่อช่วยให้องค์รวมของใบหน้าและลำคอแลดูอ่อนเยาว์
Q: หลังดึงหน้าแล้วจะรู้สึกตึงหรือไม่เป็นธรรมชาติไหม?
A: เรื่องของความตึงหรือดูไม่เป็นธรรมชาติ สามารถเกิดขึ้นได้ในช่วงแรกที่แผลผ่าตัดยังไม่หายดี ใบหน้ายังไม่เข้าที่ ร่างกายยังฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่ โดยผลลัพธ์จะค่อย ๆ ดีขึ้นใน 1 – 2 เดือน และจะเข้าที่ในช่วง 3 – 6 เดือนหลังทำ แต่ในกรณีของแพทย์ผู้ผ่าตัดไม่มีประสบการณ์มากพอหรือคำนวณตำแหน่งในการดึงคลาดเคลื่อน อาจทำให้ใบหน้าผิดสัดส่วนจนดูไม่เป็นธรรมชาติได้
Q: ดึงหน้าแล้วอยู่ได้นานแค่ไหน? ต้องทำซ้ำหรือไม่?
A: ผลลัพธ์หลังดึงหน้าสามารถอยู่ได้นานประมาณ 5 – 10 ปี ขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเองหลังทำ อายุที่เพิ่มขึ้น สภาพผิว และปัจจัยส่วนตัวอื่น ๆ ของคนไข้ที่แตกต่างกัน
Q: หลังผ่าตัดจะบวมมากไหม? ต้องดูแลอย่างไร?
A: อาการบวมช้ำหลังทำสามารถเกิดขึ้นได้ เนื่องจากเนื้อเยื่อได้รับบาดเจ็บจากการผ่าตัด โดยอาการบวมจะเกิดขึ้นประมาณ 3 – 5 วันแรกหลังทำ และจะค่อย ๆ หายไปได้เองภายในช่วง 1 – 2 สัปดาห์ แนะนำให้ประคบเย็น ยกศีรษะสูงเวลานอน และหลีกเลี่ยงการก้มหน้าเพื่อให้อาการบวมยุบเร็ว
Q: ผ่าตัดดึงหน้าต้องดมยาสลบหรือใช้ยาชาเฉพาะที่?
A: ในกรณีของคนที่ดึงหน้าแบบ Full Face Lift แพทย์จะเลือกใช้การดมยาสลบเพื่อให้คนไข้ผ่อนคลายและไม่รู้สึกเจ็บ แต่หากเป็นการผ่าตัดเฉพาะจุด Mini Face Lift แพทย์อาจพิจารณาเลือกใช้ยาชาเฉพาะจุด
Q: คนที่อายุมากกว่า 60 ปี ยังสามารถทำดึงหน้าได้ไหม?
A: คนอายุ 60 สามารถทำศัลยกรรมดึงหน้าได้ แต่ต้องให้แพทย์เป็นผู้ประเมินและตรวจร่างกาย ว่ามีความพร้อมที่จะรับการผ่าตัดหรือไม่ หากสุขภาพแข็งแรง ไม่มีโรคประจำตัวที่เป็นอุปสรรคต่อการผ่าตัด ผิวยังมีความยืดหยุ่น ก็สามารถผ่าตัดยกกระชับใบหน้าได้
Q: ดึงหน้าแล้วสามารถทำหัตถการอื่นร่วมได้ไหม เช่น ฟิลเลอร์ โบท็อกซ์?
A: สามารถทำหัตถการอื่น ๆ รวมด้วยได้ เพราะการดึงหน้าช่วยยกกระชับ ทำให้ผิวเรียบตึง แต่ไม่ได้ช่วยเติมเต็ม หรือปรับคุณภาพผิวให้ดีขึ้น ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้ประเมินและวางแผนการรักษาตามลำดับที่เหมาะสมมากที่สุด
สรุป
ศัลยกรรมดึงหน้า อีกหนึ่งทางเลือกของคนที่ต้องการแก้ปัญหาความหย่อนคล้อยที่เกิดขึ้นจากชั้นผิว SMAS ซึ่งเป็นเนื้อเยื่อที่ยึดโยงอยู่กับกล้ามเนื้อ หากเกิดการเสื่อมสภาพจะส่งผลทำให้ใบหน้าหย่อนคล้อยไม่กระชับ โดยปัญหาเหล่านี้มักจะเริ่มเห็นได้อย่างชัดเจนเมื่ออายุประมาณ 40 ปีขึ้นไป หากปล่อยไว้ไม่รีบดูแลจะทำให้ปัญหาลุกลามจนแก้ไขได้ยากและได้ผลลัพธ์ที่น้อยลง แนะนำให้เริ่มดูแลผิวพรรณได้ตั้งแต่อายุน้อย ๆ สำหรับใครที่เริ่มมีปัญหาผิวหย่อนคล้อย ต้องการให้ใบหน้าตึงกระชับ ปรับใบหน้าให้เข้ารูปมากขึ้น แนะนำให้เข้ามาปรึกษาทีมแพทย์ผู้มีประสบการณ์ของ Vincent Clinic Plastic Surgery เพื่อรับการประเมินและวางแผนการรักษาที่เหมาะสม