Key Takeaways
- Mini Facelift คือ การผ่าตัดดึงหน้าแผลเล็ก เน้นยกกระชับเฉพาะจุด เช่น แก้ม กรอบหน้า หรือหางตา โดยไม่ต้องดึงทั้งหน้า เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยในระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง
- เหมาะกับผู้ที่อายุ ประมาณ 35–50 ปี ที่เริ่มมีร่องแก้มลึก แก้มตก หรือเคยทำเครื่องยกกระชับแล้วไม่เห็นผล และต้องการผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ
- แผลเล็ก เจ็บน้อย บวมน้อย ใช้เวลาพักฟื้นไม่เยอะ ประมาณ 1–2 สัปดาห์ สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ
- ไม่เหมาะกับผู้ที่มีความหย่อนคล้อยมาก หรือผู้ที่คาดหวังผลลัพธ์เทียบเท่าการดึงหน้าแบบ Full Facelift
- สามารถทำร่วมกับหัตถการอื่น เช่น ฉีดเติมไขมัน, Ulthera, Thermage หรือ Neck Lift เป็นต้น
สำหรับการดึงหน้าแบบ Mini Facelift เป็นอีกหนึ่งทางเลือกของคนที่มีปัญหาความหย่อนคล้อย เพื่อยกกระชับใบหน้าให้เต่งตึง ผิวเรียบเนียน ช่วยให้ใบหน้าแลดูอ่อนเยาว์ ทั้งยังพักฟื้นน้อย แผลเล็ก หลายคนจึงนิยมเลือกทำกันมาก แต่ก็ยังมีคนที่สงสัยว่าวิธีการนี้คืออะไร เหมาะกับใครบ้าง มีข้อดีและข้อเสียอย่างไร ได้ผลลัพธ์เท่ากับการดึงหน้าแบบ Full Facelift ไหม มีความแตกต่างกันอย่างไร ติดตามอ่านเพิ่มเติมได้จากข้อมูลต่อไปนี้
Mini Facelift คืออะไร?
Mini Facelift คือ หนึ่งในเทคนิคการดึงหน้า ที่จะผ่าตัดยกกระชับใบหน้าที่ผิวชั้นตื้น เพื่อแก้ปัญหาความหย่อนคล้อยบริเวณใบหน้าส่วนกลาง – ล่าง ด้วยการเปิดแผลขนาดเล็กบริเวณขมับถึงขอบหูส่วนบนทั้งสองข้าง ซึ่งแผลถูกซ่อนไว้ตามไรผมหรือขอบหูเพื่อดึงยกกระชับชั้นผิวเฉพาะจุดขึ้นมาเย็บไว้ในตำแหน่งที่เหมาะสม ทำให้ใบหน้าแลดูอ่อนเยาว์อย่างเป็นธรรมชาติ
Mini Facelift เหมาะกับใคร?
สำหรับการดึงหน้าแบบ Mini Facelift เป็นเทคนิคยกกระชับใบหน้าเฉพาะจุดที่เห็นผลชัดเจน จึงเป็นวิธีการแก้ปัญหาความหย่อนคล้อยที่มีประสิทธิภาพ จึงเหมาะกับคนที่มีความต้องการหรือมีปัญหาดังต่อไปนี้
- คนที่มีอายุ 35 – 50 ปีขึ้นไป ที่เห็นความหย่อนคล้อยชัดเจน ช่วงวัยนี้ผิวจะเริ่มสูญเสียคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้โครงสร้างผิวไม่กระชับเหมือนเดิม ทำให้หน้าหย่อนคล้อย
- คนที่มีปัญหาความหย่อนคล้อย ยังไม่ได้มีความหย่อนคล้อยมากจนถึงขั้นต้องดึงทั้งหน้า ต้องการดึงเฉพาะจุด เช่น มีปัญหาแก้มตก ร่องแก้มลึก
- คนที่เคยทำหัตถการเครื่องยกกระชับมาแล้วไม่เห็นผล บางคนเนื้อเยื่อเริ่มหย่อนคล้อยมากจนเครื่องยกกระชับไม่สามารถแก้ได้ หรือได้ผลน้อยต้องใช้วิธีดึงหน้าแทน
- คนที่ต้องการผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ ปรับให้ผิวตึงกระชับโดยไม่ทำให้หน้าแข็ง หรือเปลี่ยนลักษณะใบหน้าจนเกินไป
- คนที่ไม่อยากพักฟื้นนาน เนื่องจากเป็นการผ่าตัดเล็ก จึงใช้เวลาพักฟื้นไม่นานเมื่อเทียบกับการดึงหน้าแบบเต็มรูปแบบ
- คนที่ไม่อยากมีแผลผ่าตัดยาว เนื่องจากแผลผ่าตัด Mini Facelift มักซ่อนอยู่บริเวณแนวไรผมและข้างใบหู มีขนาดสั้นและหายได้เร็ว
Mini Facelift ไม่เหมาะกับใคร?
ถึงแม้เทคนิคดึงหน้าแบบ Mini Facelift จะช่วยแก้ปัญหาความหย่อนคล้อยเฉพาะจุดได้ดี แต่ก็ยังคงมีคนหลายกลุ่มที่ไม่เหมาะกับการผ่าตัดด้วยเทคนิคนี้ ได้แก่
- ผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อยค่อนข้างมาก เพราะ Mini Facelift เป็นการดึงกระชับเฉพาะจุด หากผิวหย่อนคล้อยรุนแรงทั่วทั้งหน้า อาจจะไม่ค่อยเห็นผลมากนัก ต้องดึงหน้าด้วยวิธีอื่น เช่น Deep Plane Facelift
- ผู้ที่มีโรคประจำตัวในระดับรุนแรงหรือควบคุมไม่ได้ เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง หรือมีโรคเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด เป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงไม่ควรผ่าตัด แนะนำให้ปรึกษาแพทย์ก่อน
- ผู้ที่มีพังผืดใต้ผิวค่อนข้างเยอะ พังผืดทำให้การเลาะชั้นผิวระหว่างผ่าตัดทำได้ยาก ผลลัพธ์อาจไม่เรียบเนียน หรือทำให้การดึงกระชับไม่สมบูรณ์ อาจจะต้องเลือกใช้เทคนิคอื่น
- ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์เทียบเท่าเทคนิค Full Facelift เนื่องจาก Mini Facelift ไม่ได้แก้ไขปัญหาความหย่อนคล้อยลึกทุกจุดจะแก้ไขได้เฉพาะช่วงแก้ม และกรอบหน้าเท่านั้น
- ผู้ที่มีเวลาในการพักฟื้นน้อย ถึงแม้ Mini Facelift จะพักฟื้นเร็วกว่าการดึงหน้าเต็มรูปแบบ แต่ก็ยังต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1 – 2 สัปดาห์ในการฟื้นตัว
ข้อดีและข้อจำกัดของ Mini Facelift
Mini Facelift หรือการดึงหน้าเฉพาะจุดถึงแม้จะมีข้อดีที่ช่วยแก้ปัญหาความหย่อนคล้อยได้เป็นอย่างดี แต่ก็ยังมีข้อจำกัดในบางเรื่องที่ควรทราบเอาไว้เบื้องต้นก่อนตัดสินใจเลือกทำ ดังนี้
ข้อดีของ Mini Facelift
- แผลเล็กสังเกตได้ยาก ตำแหน่งแผลมักถูกซ่อนอยู่บริเวณไรผมหรือหลังใบหู ทำให้แทบไม่เห็นร่องรอยหลังแผลหาย
- ยกกระชับเฉพาะจุดได้ดี เช่น ร่องแก้ม แก้มหย่อน กรอบหน้าไม่ชัด ทำให้ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติ ไม่แข็งตึงทั้งใบหน้า
- แก้ปัญหาความหย่อนคล้อย เมื่อผิวและชั้นกล้ามเนื้อถูกยกขึ้น จะช่วยให้รูปหน้าดูอ่อนเยาว์ลง พร้อมทั้งลดแรงดึงรั้งของผิว ซึ่งช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยในอนาคต
- เจ็บน้อย บวมช้ำน้อย ฟื้นตัวได้เร็ว เพราะเป็นการผ่าตัดเล็ก แผลไม่ยาว จึงสามารถกลับไปทำงานหรือใช้ชีวิตประจำวันได้เร็วขึ้น
- เห็นผลลัพธ์เร็ว ในช่วง 3 – 4 สัปดาห์หลังทำ ใบหน้าจะเริ่มเข้าที่และเห็นผลลัพธ์ความกระชับชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ
ข้อจำกัดของ Mini Facelift
- ไม่สามารถช่วยยกกระชับผิวที่หย่อนคล้อยมากได้ เพราะ Mini Facelift เน้นยกเฉพาะจุด หากต้องการผลลัพธ์ทั่วหน้า ควรเลือก Full Facelift หรือ SMAS Facelift แทน
- ผลลัพธ์คงอยู่ได้น้อยกว่าเทคนิค Full Facelift เนื่องจากยกกระชับเฉพาะส่วน ทำให้ผลลัพธ์อาจอยู่ได้ 5 – 7 ปี ในขณะที่ Full Facelift สามารถอยู่ได้ยาวนานกว่า 7–10 ปี
- อาจต้องทำควบคู่ไปกับหัตถการอื่นๆ เพื่อคงผลลัพธ์ให้อยู่ได้นานและดูสมบูรณ์แบบ บางรายอาจต้องเสริมด้วยการฉีดฟิลเลอร์ โบท็อกซ์ หรือเลเซอร์ เพื่อแก้ไขปัญหาริ้วรอยในตำแหน่งที่ Mini Facelift ไม่ครอบคลุม
ขั้นตอนการทำ Mini Facelift
ก่อนตัดสินใจทำ Mini Facelift การทำความเข้าใจขั้นตอนอย่างละเอียดถือเป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะช่วยให้คุณเตรียมตัวได้อย่างเหมาะสม โดยเทคนิคนี้มีขั้นตอนการผ่าตัด ดังนี้
- ปรึกษาแพทย์เพื่อรับการประเมินปัญหา วิเคราะห์โครงหน้า และเลือกเทคนิคที่เหมาะสม
- ทำความสะอาดหน้า และแพทย์วาดตำแหน่งที่จะทำการผ่าตัดตามที่ได้วางแผนไว้เบื้องต้น
- ฉีดยาชาเฉพาะจุด หรือใครที่กังวลมากๆ แพทย์อาจประเมินเลือกใช้ยาสลบแบบอ่อน โดยจะมีวิสัญญีแพทย์ทำการดมยาสลบให้
- เมื่อยาออกฤทธิ์แพทย์จะเปิดแผลขนาดเล็กบริเวณไรผม เพื่อเข้าไปจัดเรียง และดึงชั้นผิวขึ้นมาเย็บไว้ในตำแหน่งที่เหมาะสม หลังจากนั้นจึงเย็บแผลปิดซ่อนไว้ในตำแหน่งที่มองไม่เห็น
เตรียมตัวก่อนทำ Mini Facelift อย่างไร?
สำหรับการเตรียมตัวก่อนทำ Mini Facelift เป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้การผ่าตัดเป็นไปอย่างราบรื่น ปลอดภัย และได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ลดภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นให้น้อยลง โดยสามารถเตรียมตัวเบื้องต้นก่อนผ่าตัดได้ดังนี้
- งดรับประทานอาหารเสริม วิตามิน หรือยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เพราะอาจทำให้เลือดออกง่าย ระหว่างผ่าตัดเลือดหยุดช้า และเกิดรอยช้ำบวมมากกว่าปกติ ควรงดก่อนทำประมาณ 1 – 2 สัปดาห์
- งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และงดสูบบุหรี่ เนื่องจากแอลกอฮอล์มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด ส่วนบุหรี่ทำให้หลอดเลือดหดตัว เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงแผลได้ไม่ดี ส่งผลให้แผลหายช้าและเสี่ยงติดเชื้อได้ง่าย ควรงดก่อนผ่าตัดประมาณ 1 – 2 สัปดาห์
- แจ้งแพทย์ก่อนรับบริการทุกครั้ง หากมีประวัติแพ้ยา โรคประจำตัว หรือยาที่ต้องรับประทานเป็นประจำ เพื่อความปลอดภัย
- นอนหลับและพักผ่อนให้เพียงพอก่อนเข้ารับบริการ จะช่วยให้ร่างกายแข็งแรง ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้เต็มที่ และลดความเครียดก่อนเข้ารับการผ่าตัด ทำให้ฟื้นตัวเร็วขึ้นและลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อน
ผลข้างเคียงหลังทำ Mini Facelift มีอะไรบ้าง? เจ็บไหม?
สำหรับอาการหลังผ่าตัดดึงหน้าแบบ Mini facelift มีด้วยกันหลายอย่าง ระดับความหนัก – เบาจะแตกต่างกันออกไปในแต่ละรายบุคคล โดยทั่วไปจะมีอาการปวดบวม ตึง บริเวณที่ทำการดึงหน้าเล็กน้อย ในช่วง 1 สัปดาห์แรก ซึ่งจะค่อย ๆ ดีขึ้นหลังจากนั้น นอกจากนั้นรอยแผลขนาดเล็กจากการผ่าตัดจะค่อย ๆ จางลงไปในช่วง 2 – 3 เดือน หากดูแลตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด โดยจะสามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติได้หลังจากผ่าตัดไปแล้วประมาณ 1 – 2 สัปดาห์ แต่ถ้าหลังทำมีอาการปวดแสบร้อนรุนแรง แผลมีหนอง สีผิวซีดลง แนะนำให้รีบพบแพทย์ เพราะเป็นอาการผิดปกติที่ไม่ควรเกิดขึ้นหลังทำ
Mini Facelift อยู่ได้นานแค่ไหน?
โดยทั่วไปผลลัพธ์หลังทำ Mini Facelift จะอยู่ได้ประมาณ 5 – 7 ปี ขึ้นอยู่กับอายุ การดูแลตัวเองของคนไข้หลังทำ และปัจจัยส่วนตัวอื่นๆ หากต้องการให้ผลลัพธ์หน้าตึงกระชับอยู่ได้นานขึ้น แนะนำให้ทำร่วมกับหัตถการเครื่องยกกระชับ เช่น Ulthera SPT, Ultraformer MPT หรือ Thermage FLX
เปรียบเทียบเทคนิคดึงหน้า Mini Facelift กับ ดึงหน้า Full Facelift
สำหรับเทคนิคดึงหน้าแบบ Mini Facelift และ Full Facelift มีความแตกต่างกันในหลายประเด็น ทั้งวิธีการทำ ความลึกของชั้นผิวที่ผ่าตัด และผลลัพธ์ที่ได้ ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
หัวข้อ | ดึงหน้า Mini Facelift | ดึงหน้า Full Facelift |
แผลผ่าตัด | มีขนาดเล็ก แผลสั้น | แผลยาว มีหลายตำแหน่ง |
ตำแหน่งที่ทำ | ทำเฉพาะจุด เช่น แก้ม กรอบหน้า ลงได้ถึงชั้นใต้ผิว | ทำได้ทั่วทั้งใบหน้า ขึ้นอยู่กับปัญหาและความต้องการของคนไข้ ลงได้ถึงชั้น SMAS |
เจ็บ/พักฟื้น | บวมช้ำน้อย เจ็บน้อย พักฟื้นประมาณ 1 – 2 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับรายบุคคล | รู้สึกเจ็บและ บวมเยอะกว่า พักฟื้นประมาณ 3 – 4 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับรายบุคคล |
เหมาะกับ | อายุ 35 – 50 ปี มีปัญหาความหย่อนคล้อยไม่มาก ไม่เกินระดับปานกลาง | อายุ 40 ปีขึ้นไป มีความหย่อนคล้อยที่ชัดเจน อยู่ในระดับปานกลางขึ้นไป |
ระยะเวลาของผลลัพธ์ | 3 – 5 ปี ขึ้นอยู่กับอายุที่เพิ่มขึ้น การดูแลตัวเองหลังทำ และปัจจัยส่วนตัวอื่น ๆ | 5 – 10 ปี ขึ้นอยู่กับอายุที่เพิ่มขึ้น การดูแลตัวเองหลังทำ และปัจจัยส่วนตัวอื่น ๆ |
*ตารางนี้เป็นเพียงการเปรียบเทียบเบื้องต้นเท่านั้น
Mini Facelift เหมาะกับผู้ชายไหม?
เทคนิคดึงหน้า Mini Facelift สามารถทำได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง โดยแพทย์จะเป็นผู้ประเมินปัญหาและวิเคราะห์โครงสร้างใบหน้า เพื่อวางแผนการผ่าตัดดึงชั้นผิวให้เหมาะสม ไม่เปลี่ยนแปลงโครงหน้ามากเกินไปจนไม่ใช่ตัวเอง
ดึงหน้า Mini Facelift ทำร่วมกับหัตถการอะไรได้บ้าง?
สำหรับใครที่ทำ Mini Facelift แล้วอยากคงผลลัพธ์ให้อยู่ได้นานขึ้น ปรับแต่งใบหน้าให้ได้สัดส่วนมากขึ้น สามารถทำร่วมกับหัตถการอื่น ๆ ได้ดังนี้
- ฉีดเติมไขมัน อีกหนึ่งเทคนิคที่ช่วยเพิ่มวอลลุ่มในส่วนที่ยุบหายไป ด้วยการดูดไขมันในส่วนต่าง ๆ ตามร่างกายออกมาใช้ฉีดในบริเวณที่ต้องการ เช่น ร่องแก้ม ใต้ตา ขมับ เป็นต้น ช่วยให้ใบหน้าอิ่มฟู มีมิติมากขึ้น
- Ulthera SPT นวัตกรรมเครื่องยกกระชับด้วยคลื่นเสียงอัลตร้าที่สามารถส่งลงลึกได้ถึงชั้น SMAS ชั้นเดียวกันกับที่แพทย์ใช้ดึงหน้า
- Thermage FLX นวัตกรรมเครื่องกระชับผิวและสลายไขมันด้วยคลื่นวิทยุ RF ที่ปล่อยลงสู่ชั้นผิวลึก ช่วยให้ผิวแน่น ไขมันลดลง
- Neck Lift ศัลยกรรมดึงลำคอ ลดริ้วรอย รอยพับของลำคอให้ผิวตึงกระชับเรียบเนียนขึ้น แลดูอ่อนเยาว์ ผลลัพธ์ความยกกระชับเป็นธรรมชาติทั้งใบหน้าและลำคอ
Mini Facelift ราคาเท่าไหร่?
สำหรับราคาในการดึงหน้าด้วยเทคนิค Mini Facelift จะอยู่ที่ประมาณ 60,000 – 120,000 บาท ขึ้นอยู่กับแพทย์เป็นผู้ประเมินระดับปัญหาที่ต้องแก้ไข เทคนิคที่ใช้ในการผ่าตัด ความต้องการของคนไข้ และประสบการณ์ของแพทย์ นอกจากนั้นโปรโมชั่นในแต่ละช่วงเวลาของแต่ละคลินิกก็แตกต่างกันออกไป แนะนำให้เข้ามาปรึกษากับแพทย์โดยตรงเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องครบถ้วนมากที่สุด
คำถามที่พบบ่อย (FAQ) เกี่ยวกับ Mini Facelift
สำหรับคนที่มีคำถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับการดึงหน้า Mini Facelift นอกเหนือจากข้อมูลข้างต้นที่ได้กล่าวมา ในเนื้อหาต่อไปนี้ได้รวบรวมเอาคำถามที่พบบ่อยเอาไว้เพื่อช่วยไขข้อข้องใจ ดังนี้
Q: หลังทำ Mini Facelift ต้องนอนพักไหม หรือสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้เลย?
A: หลังทำคนไข้สามารถกลับบ้านได้เลยและสามารถทำกิจวัตรประจำวันแบบเบา ๆ ได้ในช่วง 3 วันแรก ซึ่งแนะนำให้หลีกเลี่ยงการออกแรงเยอะๆ ในช่วง 2 สัปดาห์หลังทำ เพื่อให้แผลหายดีและร่างกายฟื้นตัวเต็มที่ก่อน
Q: หลังทำ Mini Facelift มีแผลเป็นไหม? รอยแผลอยู่ตรงไหน?
A: หลังผ่าตัดดึงหน้าแบบ Mini Facelift จะมีรอยแผลผ่าตัดขนาดเล็กซ่อนอยู่บริเวณข้างหูหรือไรผม ซึ่งแพทย์มักเย็บด้วยเทคนิคพิเศษให้สังเกตเห็นได้ยาก หากคนไข้ดูแลตัวเองตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด หลังจากแผลหายดีแทบจะมองไม่เห็นแผลเลย
Q: หากเคยร้อยไหมหรือฉีดฟิลเลอร์มาก่อน จะทำ Mini Facelift ได้ไหม?
A: สามารถทำได้ แต่แพทย์จะต้องประเมินโครงสร้างภายในของชั้นผิวอย่างละเอียด ว่ามีพังผืดมากไหมหรือเนื้อเยื่อได้รับความเสียหายมากหรือไม่ เพื่อวางแผนในการผ่าตัดให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี มีความปลอดภัย
Q: หลังทำ Mini Facelift สามารถแต่งหน้าได้เมื่อไหร่?
A: ปกติสามารถแต่งหน้าเบา ๆ ได้หลังตัดไหมและแผลเริ่มสมานดีแล้ว ในช่วงประมาณ 1 – 2 สัปดาห์หลังทำ
Q: ดึงหน้า Mini Facelift ที่ไหนดี
A: การเลือกสถานที่ทำ Mini Facelift ควรพิจารณาความน่าเชื่อถือของคลินิก ความเชี่ยวชาญของแพทย์ เทคนิคที่ใช้ และรีวิว เพราะปัจจัยเหล่านี้ล้วนมีผลโดยตรงต่อความปลอดภัยของผลลัพธ์ และความสวยงามของผลลัพธ์
สรุป
เทคนิคดึงหน้า Mini Facelift เป็นทางเลือกของคนอายุ 35 – 50 ปี ที่เริ่มเห็นความหย่อนคล้อยของหน้าช่วงล่าง เช่น มีร่องแก้มลึก กรอบหน้าหย่อนคล้อย ด้วยการผ่าตัดเข้าไปดึงชั้นผิวตื้นยกขึ้นมาเย็บไว้ในตำแหน่งที่เหมาะสม แผลเล็ก ฟื้นตัวไว บวมน้อย เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนหลังทำ สำหรับคนที่ต้องการแก้ปัญหาความหย่อนคล้อยของใบหน้า อยากปรับโครงหน้าให้ได้สัดส่วนเรียวสวยมากขึ้น แนะนำให้เข้ามาปรึกษากับทีมแพทย์ผู้มีประสบการณ์ของ Vincent Clinic Plastic Surgery เพื่อรับการประเมินและออกแบบการรักษาเฉพาะรายบุคคล