SMAS Facelift เป็นเทคนิคการยกกระชับผิวหน้าแบบลึกที่ได้รับความนิยมในวงการศัลยกรรมความงาม เนื่องจากสามารถแก้ไขปัญหาผิวหย่อนคล้อยและริ้วรอยได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ผลลัพธ์ดูเป็นธรรมชาติและให้ผลลัพธ์ที่คงอยู่ยาวนานกว่าการดึงผิวชั้นตื้น หากใครที่ยังมีข้อสงสัยว่าเทคนิคนี้คืออะไร แตกต่างจากเทคนิคอื่นอย่างไร เหมาะกับใครบ้าง มีข้อดีและข้อเสียอย่างไรบ้าง มีข้อควรรู้อะไรบ้างก่อนตัดสินใจทำ สามารถอ่านเพิ่มเติมได้จากเนื้อหาที่ Vincent Clinic Plastic Surgery ได้รวบรวมเอาไว้ให้ต่อไปนี้ได้เลย
Key Takeaways
- SMAS Facelift เทคนิคการดึงหน้าในชั้น SMAS ซึ่งเป็นชั้นเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อที่ช่วยยกกระชับใบหน้าและแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยและริ้วรอยได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- เทคนิคนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป และมีปัญหาผิวหย่อนคล้อยที่ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยวิธีอื่น ๆ เนื่องจากให้ผลลัพธ์ที่ยาวนานและเป็นธรรมชาติ
- SMAS Facelift ช่วยยกกระชับผิวหน้าและลำคอได้ โดยให้ผลลัพธ์คงอยู่ได้นานประมาณ 5-10 ปี ขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเองหลังการทำ
- เทคนิคนี้ไม่เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาสุขภาพบางประการ เช่น โรคหัวใจหรือเบาหวานที่ไม่สามารถควบคุมได้ หรือผู้ที่มีปัญหาความหย่อนคล้อยไม่มาก เป็นต้น
- หลังดึงหน้าด้วยเทคนิค SMAS Facelift อาจต้องใช้ระยะเวลาการพักฟื้นประมาณ 3-4 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับการฟื้นฟูร่างกายและการดูแลหลังทำของคนไข้แต่ละคน
เทคนิค SMAS Facelift คืออะไร?
เทคนิค SMAS Facelift คือ การ ผ่าตัดดึงหน้า โดยการเข้าไปดึงผิวในชั้น SMAS (Superficial Musculo-Aponeurotic System) นำไปเย็บไว้ในตำแหน่งที่เหมาะสม ช่วยแก้ไขปัญหาผิวหย่อนคล้อย ริ้วรอย หน้าแก่ จากการที่อายุเพิ่มมากขึ้น แก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตรงจุดและแม่นยำ ผลลัพธ์เป็นธรรมชาติ
SMAS Facelift เหมาะกับใคร?
SMAS Facelift เป็นเทคนิคการยกกระชับผิวหน้าแบบลึกที่ช่วยแก้ไขปัญหาผิวหย่อนคล้อยและริ้วรอยที่เกิดจากอายุที่เพิ่มขึ้น สามารถแก้ปัญหาความหย่อนคล้อยได้อย่างตรงจุด จึงเป็นเทคนิคที่เหมาะกับกลุ่มคนต่อไปนี้
- ผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป ซึ่งจะเห็นปัญหาผิวหย่อนคล้อยและริ้วรอยที่ชัดเจนมากขึ้น
- ผู้ที่ต้องการผลลัพธ์ที่ชัดเจนและคงอยู่ได้ในระยะยาว
- ผู้ที่แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยและริ้วรอยด้วยวิธีการอื่นไม่ได้ผล
- ผู้ที่ต้องการยกกระชับและปรับรูปหน้าให้เข้ารูปมากขึ้น แลดูอ่อนเยาว์
SMAS Facelift ไม่เหมาะกับใคร?
เทคนิค SMAS Facelift อาจไม่เหมาะสำหรับบางกลุ่มผู้ที่มีปัญหาหรือเงื่อนไขทางสุขภาพที่อาจทำให้การทำหัตถการนี้มีความเสี่ยงสูง โดยผู้ที่ไม่เหมาะกับเทคนิคนี้ ได้แก่
- ผู้ที่มีโรคประจำตัวที่ควบคุมไม่ได้ เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน หรือโรคความดันโลหิตสูง เป็นต้น ที่อาจเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนระหว่างทำ
- ผู้ที่มีปัญหาผิวหนังบอบบางมากหรือมีประวัติเป็นคีลอยด์
- ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 40 ปี เนื่องจากปัญหาความหย่อนคล้อยยังไม่มากสามารถใช้เทคนิคอื่นช่วยได้
- ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร การทำศัลยกรรมในช่วงนี้อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพหรือเกิดความเสี่ยงบางอย่างขึ้นได้
SMAS Facelift เหมาะกับตำแหน่งไหนบนใบหน้า?
SMAS Facelift เหมาะสำหรับการแก้ไขปัญหาผิวหย่อนคล้อยในหลายตำแหน่งบนใบหน้า โดยเฉพาะบริเวณที่มีการหย่อนคล้อยลึกและริ้วรอยที่เห็นได้ชัด ซึ่งมักจะเป็นจุดที่แสดงถึงอายุที่เพิ่มขึ้น สามารถช่วยยกกระชับผิวทั่วใบหน้าได้อย่างเห็นผล กรอบหน้าชัด ผิวเรียบเนียน ใบหน้ายกกระชับ แลดูอ่อนเยาว์ จึงเป็นการผ่าตัดที่เหมาะกับการทำทั่วทั้งใบหน้าและผิวบริเวณลำคอ
อ่านเพิ่มเติม : ดึงลำคอคืออะไร ยกกระชับคอให้เรียบเนียน แก้ไขคอหย่อนคล้อย คอปล้อง
ข้อดีของ SMAS Facelift
สำหรับเทคนิคการดึงหน้า SMAS Facelift สามารถแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุด ให้ผลลัพธ์ที่ดีและชัดเจน จึงเป็นวิธีการที่มีข้อดี ดังนี้
- ให้ผลลัพธ์ที่ยาวนาน เนื่องจากเข้าไปยกกระชับลึกถึงชั้น SMAS ผลลัพธ์จึงอยู่ได้นานกว่าการดึงผิวชั้นตื้น
- แก้ปัญหาได้ตรงจุด แม่นยำ และมีประสิทธิภาพ ผิวจึงเรียบเนียน เต่งตึง
- สามารถยกกระชับได้ทั่วใบหน้าและลำคอ แลดูอ่อนเยาว์
- แก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยรุนแรงที่เกิดจากผิวสูญเสียคอลลาเจนและอีลาสตินเพราะอายุที่เพิ่มขึ้น
- ช่วยปรับรูปหน้าให้เข้ารูปได้อย่างเห็นผลชัดเจน
- ผลลัพธ์คงอยู่ได้นานประมาณ 5 – 10 ปี
ข้อจำกัดของ SMAS Facelift
เทคนิคดึงหน้า SMAS Facelift นอกจากข้อดี ยังมีข้อจำกัดที่ควรรู้ไว้ เพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจ โดยมีรายละเอียดดังนี้
- อาจเกิดอาการบวมช้ำ หรือมีแผลผ่าตัด ซึ่งจะหายไปได้เองในช่วงประมาณ 1 – 2 สัปดาห์
- ต้องใช้ระยะเวลาพักฟื้นนานประมาณ 3 – 4 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับร่างกายของแต่ละคน
- ผลลัพธ์คงอยู่ได้ประมาณ 5 – 10 ปี ไม่คงอยู่ถาวร ขึ้นอยู่กับอายุที่เพิ่มขึ้น สภาพผิว การดูแลตัวเอง และปัจจัยส่วนตัวของแต่ละคนที่ต่างกัน
เตรียมตัวก่อนทำ SMAS Facelift
การเตรียมตัวก่อนทำ SMAS Facelift เป็นขั้นตอนสำคัญเพื่อให้ระหว่างทำไม่เกิดปัญหาและภาวะแทรกซ้อน โดยสามารถเตรียมตัวเบื้องต้นได้ดังนี้
- เข้าพบแพทย์เพื่อประเมินปัญหา สภาพผิวหน้า และประวัติการรักษาเกี่ยวกับใบหน้าที่เคยทำมา
- ตรวจสุขภาพก่อนทำการศัลยกรรม เช่น ตรวจเลือดหรือประเมินสุขภาพหัวใจ เพื่อให้มั่นใจว่าร่างกายพร้อมสำหรับการผ่าตัด
- งดวิตามิน อาหารเสริม และยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด ประมาณ 1 – 2 สัปดาห์ก่อนรับบริการ
- งดดื่มแอลกอฮอล์และงดสูบบุหรี่ประมาณ 1-2 สัปดาห์ก่อนการทำ เพราะอาจทำให้กระบวนการฟื้นตัวช้าลงและเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อ
- หากมีโรคประจำตัวและยาที่ทานประจำ ควรแจ้งแพทย์ก่อนรับบริการ
ขั้นตอนการทำ SMAS Facelift เป็นอย่างไร?
ขั้นตอนการทำ SMAS Facelift ประกอบด้วยกระบวนการที่ละเอียดและมีขั้นตอนต่าง ๆ เพื่อให้การยกกระชับผิวหน้าเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย ดังนี้
- หลังจากรับการประเมินเบื้องต้น แพทย์จะกำหนดตำแหน่งในการผ่าตัดตามความเหมาะสมในแต่ละรายบุคคล
- หลังจากนั้นแพทย์จะใช้ยาสลบเพื่อช่วยให้คนไข้ไม่รู้สึกเจ็บ ผ่อนคลายระหว่างการผ่าตัด
- หลังจากยาสลบออกฤทธิ์แพทย์จะผ่าตัดเปิดแผลตามตำแหน่งที่กำหนดไว้ เข้าไปดึงชั้น SMAS ขึ้นมาเย็บไว้ในตำแหน่งที่เหมาะสมด้วยวิธีการต่าง ๆ ขั้นตอนของแต่ละเทคนิคที่ไม่เหมือนกัน และทำการเย็บแผลซ่อนไว้ตามแนวไรผม หนังศีรษะหลังไรผม ตามแนวขอบหน้า หรือหลังหู เป็นต้น
- หลังทำเมื่อฤทธิ์ยาสลบหมดแล้วสามารถกลับบ้านได้
หลังทำ SMAS Facelift ต้องใช้เวลาพักฟื้นนานแค่ไหน?
หลังดึงหน้าด้วยเทคนิค SMAS Facelift ควรพักฟื้นประมาณ 3 – 4 สัปดาห์ เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวเต็มที่ แผลหายดี จึงจะสามารถกลับไปทำงานได้ตามปกติ ซึ่งขึ้นอยู่กับร่างกายและการดูแลตัวเองหลังทำของแต่ละคนที่แตกต่างกัน
หลังทำ SMAS Facelift ควรดูแลตัวเองอย่างไร?
การดูแลหลังทำ SMAS Facelift เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้การฟื้นตัวเป็นไปอย่างรวดเร็วและปลอดภัย ดังนั้นควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด เพื่อหลีกเลี่ยงภาวะแทรกซ้อนและผลข้างเคียงต่าง ๆ โดยสามารถดูแลตัวเองได้ดังนี้
- ประคบเย็น ในช่วง 3 วันแรกหลังผ่าตัด เพื่อช่วยลดอาการบวมและฟกช้ำ ทำให้ฟื้นตัวได้เร็วขึ้น
- หลีกเลี่ยงการใช้งานหน้าจอ คอมพิวเตอร์หรือมือถือในช่วง 1-2 สัปดาห์แรก เพื่อไม่ให้กล้ามเนื้อหน้าเกิดอาการตึง
- ควรนอนหงายและยกศีรษะสูง ด้วยการใช้หมอนรองคอเพื่อช่วยลดอาการบวมและป้องกันแผลกดทับ
- งดกิจกรรมที่ต้องใช้แรง เช่น การยกของหนักหรือการออกกำลังกาย เพื่อไม่ให้แผลได้รับการกระทบกระเทือน
- ห้ามให้แผลโดนน้ำ ในช่วง 1-2 สัปดาห์แรกเพื่อป้องกันการติดเชื้อ
- ควรทำความสะอาดแผลอย่างสม่ำเสมอตามคำแนะนำของแพทย์
- ใส่ผ้ารัดหน้าหลังผ่าตัด ตามคำแนะนำของแพทย์ในช่วง 1 – 2 สัปดาห์หลังการผ่าตัด เพื่อช่วยให้ใบหน้าเข้าที่เร็วขึ้น
- งดอาหารหมักดอง อาหารทะเล หรืออาหารกึ่งสุกกึ่งดิบ ลดโอกาสแผลติดเชื้อ
- รับประทานยาและปฏิบัติตามคำสั่งแพทย์ เพื่อให้การฟื้นตัวเป็นไปอย่างรวดเร็ว
- เข้าพบแพทย์ตามนัด เพื่อทำการติดตามผลหลังการทำหัตถการและตรวจสอบสภาพแผล
ผลลัพธ์ของ SMAS Facelift อยู่ได้นานแค่ไหน?
ผลลัพธ์หลังทำศัลยกรรมดึงหน้า SMAS Facelift สามารถคงอยู่ได้นานประมาณ 5 – 10 ปี ขึ้นอยู่กับอายุที่เพิ่มขึ้น การดูแลตัวเองหลังทำ และปัจจัยส่วนตัวของแต่ละคนที่แตกต่างกันออกไป โดยสามารถทำหัตถการอื่น ๆ เพื่อช่วยคงผลลัพธ์ให้อยู่ได้นานยิ่งขึ้นได้
SMAS Facelift ต่างจากการดึงหน้าแบบอื่นอย่างไร?
SMAS Facelift และ ดึงหน้าทั่วไป ต่างกันในหลายด้าน โดยเฉพาะในเรื่องของเทคนิคการทำงาน ผลลัพธ์ที่ได้ และการฟื้นตัว ดังนี้
SMAS Facelift
SMAS Facelift เป็นเทคนิคการยกกระชับผิวหน้าโดยเข้าไปดึงชั้น SMAS (Superficial Musculo-Aponeurotic System) ซึ่งเป็นชั้นเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อ ทำให้สามารถยกกระชับได้อย่างเห็นผลชัดเจน ให้ผลลัพธ์ที่คงอยู่ได้นานประมาณ 5 – 10 ปีขึ้นไป แก้ปัญหาความหย่อนคล้อยหนัก ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป และมีปัญหาผิวหย่อนคล้อยหรือริ้วรอยลึก
ดึงหน้าทั่วไป
การดึงหน้าทั่วไป เป็นการดึงผิวหนังจากชั้นผิวหนังด้านบนโดยไม่เข้าไปในชั้น SMAS เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวหย่อนคล้อยเล็กน้อยหรือเริ่มมีริ้วรอย การฟื้นตัวไว ผลลัพธ์อาจอยู่ได้ไม่นาน แก้ปัญหาความหย่อนคล้อยได้เพียงเล็กน้อย
ตารางเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่าง SMAS Facelift กับการดึงหน้าทั่วไป
รายละเอียด | SMAS Facelift | ดึงหน้าทั่วไป |
ชั้นที่ดึง | ดึงลึกถึงชั้น SMAS (ชั้นกล้ามเนื้อใต้ผิวหนัง) | ดึงเฉพาะผิวหนังชั้นตื้น |
ความลึกในการยกกระชับ | ลึก และยกได้ทั่วโครงสร้างใบหน้า | ตื้น เฉพาะชั้นผิว |
ความชัดเจนของผลลัพธ์ | เห็นผลชัดเจน ยกได้มาก | ผลลัพธ์น้อยกว่า |
อายุของผลลัพธ์ | อยู่ได้นาน 5–10 ปี | อยู่ได้ไม่นาน 1–3 ปี |
เหมาะกับใคร | อายุ 40+ มีปัญหาหย่อนคล้อยชัดเจน | อายุยังไม่มาก หย่อนคล้อยเล็กน้อย |
การฟื้นตัว | ใช้เวลาพักฟื้นนาน (3–4 สัปดาห์) | พักฟื้นไม่นาน (1–2 สัปดาห์) |
ระดับความซับซ้อน | ผ่าตัดใหญ่ ใช้ยาสลบ | ผ่าตัดเล็ก อาจใช้ยาชาเฉพาะที่ |
รอยแผล | แผลซ่อนบริเวณไรผมหรือหลังใบหู | แผลเล็กน้อย บางครั้งไม่ต้องเย็บ |
ราคา | สูงกว่า เนื่องจากความซับซ้อนและเทคนิค | ต่ำกว่า เพราะเป็นเทคนิคพื้นฐาน |
SMAS Facelift เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยรุนแรงและต้องการผลลัพธ์ชัดเจนในระยะยาว ดึงหน้าทั่วไป เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาเล็กน้อย ต้องการฟื้นตัวไว และผลลัพธ์ระยะสั้นเทคนิค SMAS Facelift ราคาเท่าไหร่?
สำหรับราคาการทำ SMAS Facelift มีความแตกต่างกันออกไปในแต่ละรายบุคคล ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น ความซับซ้อนของปัญหา เทคนิคที่ใช้ ตำแหน่งที่ทำ ความต้องการของคนไข้ และประสบการณ์ของแพทย์ เป็นต้น โดยราคาอยู่ที่ประมาณ 100,000 – 300,000 บาท
คำถามที่พบบ่อย (FAQ) เกี่ยวกับ SMAS Facelift
การทำ SMAS Facelift เป็นหัตถการที่ได้รับความนิยมมากขึ้นในปัจจุบัน เนื่องจากสามารถแก้ไขปัญหาผิวหย่อนคล้อยและริ้วรอยได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในบทความนี้ได้รวบรวมเอาส่วนหนึ่งของคำถามที่พบบ่อยมาไว้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจ ดังนี้
Q: SMAS Facelift เหมาะกับช่วงอายุเท่าไร?
A: โดยทั่วไปจะแนะนำกับคนที่มีอายุ ตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป ที่เริ่มมีความหย่อนคล้อยอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะใบหน้าช่วงล่างและแนวกราม ในส่วนของคนที่อายุน้อยแต่ความหย่อนคล้อยไม่มาก สามารถใช้หัตถการอื่นช่วยแก้ปัญหาความหย่อนคล้อย ยกกระชับหน้าได้
Q: ทำไมต้องเลือกเทคนิค SMAS แทนการดึงผิวแบบทั่วไป?
A: เพราะ SMAS Facelift ยกกระชับในชั้นลึก ซึ่งต่างจากการดึงหน้าทั่วไปที่ดึงเพียงผิวชั้นตื้น เทคนิคนี้จึงให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า มีประสิทธิภาพ ผลลัพธ์ชัดเจน และคงอยู่ได้นานกว่า
Q: แผลผ่าตัดจะเห็นชัดหรือไม่หลังทำ?
A: หลังผ่าตัดดึงหน้า SMAS Facelift แพทย์จะซ่อนแผลไว้ตามแนวไรผม หนังศีรษะหลังไรผม หรือหลังใบหู เมื่อแผลหายดีแล้ว รอยแผลจะจางลงจนแทบมองไม่เห็น ขึ้นอยู่กับการดูแลหลังทำของคนไข้แต่ละคน
Q: หลังทำ SMAS Facelift ยังสามารถทำหัตถการอื่นร่วมได้ไหม?
A: หลังดึงหน้าด้วยเทคนิค SMAS Facelift สามารถทำหัตถการอื่น ๆ ประกอบด้วยได้ เพื่อช่วยคงผลลัพธ์ให้คงอยู่ได้นานขึ้น โดยแนะนำให้เว้นระยะจนกว่าแผลจะหายดี หรือตามที่แพทย์แนะนำ
Q: SMAS Facelift ต้องทำซ้ำบ่อยแค่ไหน?
A: โดยปกติหลังทำผลลัพธ์สามารถอยู่ได้นานประมาณ 5 – 10 ปีขึ้นไป ขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเองหลังทำและปัจจัยส่วนตัวของคนไข้แต่ละคนที่ไม่เหมือนกัน จึงไม่ต้องทำซ้ำบ่อย ๆ
Q: ทำ SMAS Facelift แล้ว หน้าจะดูเปลี่ยนไปมากไหม?
A: หลังทำหน้าจะแลดูยกกระชับและอ่อนเยาว์ลง อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ถึงกับเปลี่ยนเป็นคนละคน เพราะแพทย์จะออกแบบให้เหมาะสมกับโครงหน้าเดิม ไม่ให้ดูหลอกตาหรือหน้าแข็งตึงเกินไปจนไม่เป็นธรรมชาติ
Q: สามารถดึงหน้าชั้น SMAS พร้อมกับดึงคอได้ไหม?
A: สามารถทำพร้อมกันได้ เพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาดี ผิวตึงทั้งหน้าและลำคอ แลดูอ่อนเยาว์ ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับแพทย์เป็นผู้ประเมินว่าคนไข้สามารถทำพร้อมกันทั้ง 2 ตำแหน่งได้หรือไม่ เพื่อความปลอดภัยและได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
Q: หากเคยทำดึงหน้าแบบอื่นมาแล้ว ยังสามารถทำ SMAS Facelift ได้ไหม?
A: สามารถทำได้ แต่ต้องให้แพทย์ประเมินเป็นรายบุคคลไป เพราะจะต้องวินิจฉัยว่าสภาพเนื้อเยื่อ มีพังผืดหรือไม่ หากเคยทำมาแล้วแต่ไม่ได้ทำในชั้นลึกหรือผิวกลับมาหย่อนคล้อยใหม่ และแพทย์ประเมินว่าสามารถทำได้ ก็สามารถเข้ารับบริการได้เลย
สรุป
SMAS Facelift เป็นเทคนิคผ่าตัดดึงหน้าที่เน้นการยกกระชับในชั้น SMAS (Superficial Musculo-Aponeurotic System) ซึ่งเป็นเนื้อเยื่อชั้นกล้ามเนื้อที่สามารถช่วยยกกระชับใบหน้าได้อย่างเห็นผลชัดเจน แก้ปัญหาได้มากกว่าการดึงหน้าในชั้นผิวตื้น ใบหน้ายกกระชับ แลดูอ่อนเยาว์ เป็นธรรมชาติ คงอยู่ได้นานประมาณ 5 – 10 ปีขึ้นไป หากใครที่กำลังมองหาวิธีแก้ปัญหาความหย่อนคล้อย ใบหน้าไม่กระชับ อยากแลดูอ่อนเยาว์ แนะนำให้เข้ามาปรึกษาที่ Vincent Clinic Plastic Surgery เพื่อรับการประเมินโดยทีมแพทย์ผู้มีประสบการณ์ ให้ได้ผลลัพธ์ที่ออกมาดีรับกับใบหน้าและมีความปลอดภัย