ฉีด PRP วิธีการรักษาอาการผมร่วง ผมบาง ที่กำลังได้รับความนิยม เพราะไม่ต้องผ่าตัด ไม่ทำให้เกิดรอยแผลเป็น เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของคนในปัจจุบันที่ไม่อยากใช้ระยะเวลาในการรักษานาน ต้องการกลับไปใช้ชีวิตตามปกติหลังทำ ไม่มีเวลามากพอที่จะพักฟื้น ซึ่งวิธีการนี้ยังมีหลายคนที่สงสัยว่าคืออะไร ช่วยเรื่องอะไรได้บ้าง สามารถทำร่วมกับวิธีการอื่นได้ไหม มีผลข้างเคียงอย่างไร เหมาะกับใครบ้าง มีข้อจำกัดในการฉีดไหม สามารถติตดามอ่านได้จากบทความนี้
ฉีด PRP คืออะไร?
ฉีด PRP ผม (Platelet Rich Plasma) เป็นเทคนิคทางการแพทย์ที่ช่วยแก้ปัญหาเกี่ยวกับเส้นผมและหนังศีรษะ ช่วยให้เส้นผมกลับมาแข็งแรง กระตุ้นกระบวนการงอกของเส้นผมใหม่ให้ดีขึ้น ช่วยชะลอการหลุดร่วงของเส้นผม ด้วยการนำเอาเลือดของคนไข้เข้าสู่กรับวนการทางการแพทย์เพื่อคัดแยกเอาเฉพาะเกล็ดเลือดเข้มข้น ซึ่งอุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์อย่าง Growth Factor ฉีดเข้าไปในบริเวณที่มีปัญหาหรือต้องการแก้ไขให้ดีขึ้น
PRP คืออะไร?
PRP (Platelet Rich Plasma) คือ พลาสม่าที่ได้จากการนำเอาเลือดของคนไข้เข้าสู่เครื่อง Centrifuge เพื่อคัดแยกเอาเฉพาะพลาสม่าที่อุดมไปด้วยเกล็ดเลือดเข้มข้น โดยมีเกล็ดเลือดประมาณ 1,000,000 หน่วยต่อไมโครลิตร หรือ 3 – 4 เท่าจากเกล็ดเลือดปกติ มักถูกนำมาใช้เพื่อช่วยฟื้นฟูผิวพรรณ รักษาอาการบาดเจ็บบางประเภท รวมไปถึงสามารถนำมาช่วยในการปลูกผมได้อีกด้วย ซึ่งมีความปลอดภัย แทบจะไม่เกิดความเสี่ยง อาการแพ้ หรืออาการแทรกซ้อนอื่น ๆ ตามมา เพราะเป็นเกล็ดเลือดที่มาจากของคนไข้เองโดยตรง
เกล็ดเลือดเข้มข้น ช่วยเรื่องอะไร?
เกล็ดเลือดมีส่วนประกอบที่มีประโยชน์อย่าง Growth Factor ซึ่งทำหน้าที่ช่วยสมานแผล ซ่อมแซมเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย ฟื้นฟูเซลล์ให้กลับมาทำงานได้เป็นปกติ ทั้งยังมีคุณสมบัติช่วยให้กระบวนการสร้างและซ่อมแซมเส้นเลือดดีขึ้น กระตุ้นเซลล์รากผมให้สุขภาพดีแข็งแรงมากขึ้น
เกล็ดเลือดเข้มข้นประกอบไปด้วยอะไรบ้าง?
ภายในเกล็ดเลือดเข้มข้นมีส่วนประกอบของ Growth Factor มากมาย ซึ่งเป็นตัวช่วยสำคัญในการกระตุ้นให้ Stem Cell ทำงานได้ดียิ่งขึ้น เมื่อนำไปฉีดบริเวณหนังศีรษะที่มีปัญหาจะช่วยให้เกิดการกระตุ้นการสร้างเส้นเลือดใหม่มาเลี้ยงเซลล์รากผมได้ดี สร้างเนื้อเยื่อใหม่กระตุ้นการงอกของเส้นผม ช่วยชะลอการหลุดร่วงของเส้นผม ส่งผลให้เส้นผมและรากผมมีสุขภาพที่ดีแข็งแรงขึ้นมากกว่าเดิม
ฉีด PRP ผม เหมาะกับใครบ้าง?
ฉีด PRP ผม เหมาะกับคนที่มีปัญหาผมร่วง ผมบาง ซึ่งเกิดขึ้นจากหลายปัจจัย โดยสามารถเข้าไปช่วยกระตุ้นให้เส้นผมงอกใหม่และมีความแข็งแรงมากขึ้น
- เหมาะกับคนที่มีภาวะผมบางซึ่งเกิดจากกรรมพันธุ์
- เหมาะกับคนที่ต้องการเสริมประสิทธิภาพของการปลูกผมให้ดียิ่งขึ้น
- เหมาะกับคนที่ไม่สามารถใช้วิธีการรักษาแบบอื่นได้
- เหมาะกับคนที่ใช้ยารักษาผมร่วงแล้วไม่ได้หรือเห็นผลน้อยไม่เป็นไปตามที่ต้องการ
- เหมาะกับคนที่ต้องการแก้ปัญหาผมร่วง ผมบาง โดยที่ไม่ต้องการใช้วิธีปลูกผม
- เหมาะกับคนที่ไม่มีเวลาน้อย ไม่อยากพักฟื้นนาน ๆ
- เหมาะกับคนที่ต้องการรักษาอาการผมร่วงหรือผมบางที่เกิดจากอาการเจ็บป่วย
ฉีด PRP มีจุดเด่นอะไรบ้าง?
จุดเด่นของการ ฉีด PRP มีด้วยกันหลายประการ ซึ่งสามารถตอบโจทย์ปัญหาและความต้องการเกี่ยวกับเส้นผมได้ดี โดยไม่ทำให้เกิดปัญหาหรือผลข้างเคียงร้ายแรงตามมา โดยมีจุดเด่นดังนี้
- เจ็บน้อย ไม่ต้องพักฟื้น เพราะไม่ใช่การผ่าตัด
- วันรุ่งขึ้นหลังทำสามารถสระผมได้เลย เพราะไม่มีการเปิดแผลเหมือนการผ่าตัด
- มีความปลอดภัยสูง โอกาสที่จะเกิดอาการแพ้หรือได้รับผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์หลังทำต่ำ เนื่องจากเป็นเลือดของคนไข้เอง ไม่มีการผสมสารเคมีอื่น ๆ เข้าไปเพิ่มเติม
- ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการชะลอผมหลุดร่วงและกระตุ้นให้รากผมแข็งแรงทำได้ดียิ่งขึ้น
- สามารถช่วยเสริมประสิทธิภาพการรักษาหรือทำร่วมกับหัตถการอื่น ๆ ได้ดี
ฉีด PRP มีข้อจำกัดอะไรบ้าง?
ฉีด PRP ถึงแม้จะเป็นการนำเลือดของคนไข้มาใช้ทำให้โอกาสที่จะเกิดปัญหาตามมาต่ำและช่วยเสริมการรักษาให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น แต่ก็ยังมีข้อจำกัดที่ทำให้ไม่สามารถใช้วิธีนี้ได้หรือทำให้ได้ผลลัพธ์ที่น้อยลง โดยกลุ่มคนที่ไม่เหมาะกับหัตถการนี้ มีรายละเอียดดังนี้
- ไม่เหมาะกับผู้ป่วยโรคมะเร็งที่กำลังรักษาด้วยยาเคมีบำบัด
- ไม่เหมาะกับคนที่มีประวัติเคยเป็นโรคหรือมีอาการผิดปกติเกี่ยวกับเกล็ดเลือด
- ไม่เหมาะกับคนที่มีเกล็ดเลือดต่ำขั้นรุนแรง น้อยกว่า < 100,000 เกล็ดต่อไมโครลิตร
- ไม่เหมาะกับคนที่มีภาวะเลือดจาง ซึ่งมีค่าฮีโมโกลบินน้อยกว่า 10 กรัมต่อเดซิลิตร
- ไม่เหมาะกับคนที่มีมีอาการป่วยติดเชื้อในกระแสเลือดหรือเกิดการอักเสบติดเชื้อบริเวณที่ต้องการทำการรักษา
- ไม่เหมาะกับสตรีมีครรภ์หรือกำลังให้นมบุตร
- ไม่เหมาะกับคนที่เป็นโรคผิวหนังบริเวณศีรษะที่โรคยังกำเริบหรือมีอาการอยู่
- ไม่เหมาะกับคนที่กำลังป่วยและต้องได้รับยาต้านการแข็งตัวของเลือด ยาละลายลิ่มเลือด รวมไปถึงยากลุ่ม NSIADs แนะนำให้หยุดใช้ก่อนเข้ารับบริการและควรปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับการรักษา
- ไม่เหมาะกับคนที่ได้รับการฉีด Corticosteroid ในบริเวณที่จะทำการรักษาในช่วง 1 เดือน นอกจากนั้นยังรวมไปถึงชนิดรับประทานหรือฉีดเข้าสู่ร่างกายภายใน 2 สัปดาห์ก่อนเข้ารับการรักษาอีกด้วย
- ไม่เหมาะกับคนที่เคยมีประวัติเกิดอาการแพ้หลังฉีด PRP ที่บริเวณหนังศีรษะ
ก่อนฉีด PRP ควรเตรียมตัวอย่างไร?
ก่อนฉีด PRP ควรมีการเตรียมตัวให้พร้อมก่อนเข้ารับการรักษาเพื่อไม่ให้เกิดผลข้างเคียงตามมา และช่วยให้เกล็ดมีคุณภาพมากที่สุด โดยมีขั้นตอนการเตรียมตัวดังนี้
- ควรพักผ่อนให้เพียงพอ นอนหลับอย่างน้อย 8 ชั่วโมง จะช่วยให้ร่างกายมีความพร้อมและทำให้เกล็ดเลือดที่ต้องการนำมาใช้มีคุณภาพดี
- ควรดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอก่อนเข้ารับบริการ
- ควรสระผมก่อนเข้ารับบริการ
- งดสูบบุหรี่หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างน้อย 1 สัปดาห์ก่อนทำ
- งดยากลุ่ม NSAIDs ยาละลายลิ่มเลือด หรือยาแอสไพริน ก่อนเข้ารับบริการประมาณ 1 สัปดาห์
- งดรับประทานอาหารเสริมหรือวิตามิน เช่น วิตามินอี วิตามินบี สมุนไพร ใบแปะก๊วย เป็นต้น ก่อนเข้ารับการรักษาประมาณ 1 สัปดาห์
ขั้นตอนการฉีด PRP ผม
ฉีด PRP เป็นวิธีการช่วยรักษาอาการผมร่วง ผมบาง ช่วยเสริมประสิทธิภาพการรักษาอื่น ๆ ให้ได้ผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น โดยมีขั้นการทำรักษาดังนี้
- เข้ารับคำปรึกษาและออกแบบการรักษาเฉพาะรายบุคคลกับแพทย์
- เจาะเลือดจากคนไข้ออกมาประมาณ 10 มิลลิลิตร เพื่อนำเอาไปเข้าสู่กระบวนการคัดแยกเกล็ดเลือดด้วยเครื่องมือทางการแพทย์ประมาณ 5 นาที
- ระหว่างรอเลือดเข้าเครื่องปั่นคัดแยกเกล็ดเลือดแพทย์จะทำการฉีดยาชาในบริเวณที่ต้องการรักษา หรืออาจจะใช้วิธีการประคบเย็น รวมถึงเครื่องสั่นบรรเทาอาการปวด ขึ้นอยู่กับแพทย์จะเป็นผู้เลือกใช้ให้เหมาะสม
- หลังจากได้เกล็ดเลือดเข้มข้นและยาชาเริ่มออกฤทธิ์ แพทย์จะเริ่มฉีด PRP ในตำแหน่งที่ต้องการรักษาด้วยอัตราส่วน 1 มลต่อตารางเซนติเมตร
- หลังจากฉีดเสร็จแล้วแพทย์จะให้คนไข้รับการฉายเลเซอร์ที่มีความเข้มข้นต่ำประมาณ 20 นาที เพื่อเป็นการช่วยเสริมประสิทธิภาพในการรักษาให้ดียิ่งขึ้น
หลังฉีด PRP ควรดูแลตัวเองอย่างไร?
หลังฉีด PRP เพื่อไม่ให้เกิดผลข้างเคียงหรือผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์หลังทำ ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด โดยสามารถปฏิบัติตัวตามหัวข้อดังนี้
- ในช่วง 4 – 6 ชั่วโมงแรกหลังทำควรงดสระผมหรือใช้ผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผม สามารถสระผมได้ในวันรุ่งขึ้น
- งดสูบบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 1 วันหลังทำ
- ในช่วง 2 – 3 วันแรกหลังทำ ควรงดรับประทานยาในกลุ่มที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น NSAIDs แอสไพริน เป็นต้น
- 1 สัปดาห์แรกหลังทำ ควรใช้แชมพูที่มีความอ่อนโยน ไม่ควรถู เกา หรือขยี้แรง ๆ แนะนำให้สระอย่างเบามือ
- หลังทำอาจเกิดอาการบวมช้ำในบริเวณที่ทำหัตถการขึ้นได้ สามารถใช้การประคบเย็นหรือนอนให้ศีรษะยกสูงก็จะช่วยบรรเทาอาการลงได้ ซึ่งอาการเหล่านี้จะหายไปได้เองภายใน 2 – 3 วัน ในส่วนของอาการฟกช้ำจะหายไปได้เองใน 1 – 2 สัปดาห์
- ควรงดออกแดดหรืองดอาบแดดในช่วง 1 – 2 วันแรกหลังทำ
ฉีด PRP กี่ครั้งถึงเห็นผล?
ฉีด PRP ผม หลังทำประมาณ 1 เดือนแรก จะเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงเรื่องของไรผมที่งอกขึ้นใหม่ ในช่วง 2 – 3 เดือนหลังทำจะสังเกตเห็นลักษณะของผมที่หนาขึ้นได้ ซึ่งผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละรายบุคคล แนะนำให้ทำอย่างต่อเนื่องทุก ๆ 1 เดือน จนครบ 3 ครั้ง หลังจากนั้นสามารถทำได้ทุก ๆ 3 – 6 เดือน จะยิ่งช่วยให้ผลลัพธ์ชัดเจนมากขึ้น
ฉีด PRP ที่ไหนดี?
ก่อนฉีด PRP ควรศึกษารายละเอียดให้ครบถ้วนถูกต้อง เพื่อไม่ให้เกิดผลข้างเคียงที่ร้ายแรงและทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีหลังทำ จึงควรพิจารณาเลือกทำดังนี้
- เลือกจากคลินิกที่มีความน่าเชื่อถือ สถานที่สะอาด มีการแบ่งสัดส่วนที่ชัดเจน มีเลขใบอนุญาตติดไว้ที่หน้าคลินิกที่ชัดเจน
- เลือกจากแพทย์ที่มีประสบการณ์ มีความเข้าใจโครงสร้างของหนังศีรษะและปัญหาที่เกิดขึ้นกับเส้นผม
- เลือกจากเครื่องมือที่ได้มาตรฐาน เป็นของแท้ที่สามารถตรวจสอบได้
ฉีด PRP ราคาเท่าไหร่?
ราคาฉีด PRP มีด้วยกันหลายราคาขึ้นอยู่กับจำนวนครั้งที่ใช้ในการรักษา ระดับปัญหาของคนไข้ที่แตกต่างกัน รวมถึงโปรโมชันในแต่ละช่วงเวลาที่มีความแตกต่างกันออกไป มีราคาเริ่มต้นตั้งแต่ประมาณ 2,000 – 20,000 บาท แนะนำให้เข้ามาปรึกษากับแพทย์โดยตรงเพื่อให้ได้รับรายละเอียดที่ครบถ้วนถูกต้องมากที่สุด
คำถามที่พบได้บ่อยเกี่ยวกับการฉีด PRP
หลายคนยังคงมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการฉีด PRP ซึ่งเราได้รวบรวมเอาคำถามที่พบได้บ่อยมาไว้ในบทความนี้เพื่อช่วยไขข้อสงสัย โดยมีรายละเอียดดังนี้
ฉีด PRP ผม เห็นผลเมื่อไหร่?
หลังฉีด PRP จะเห็นความหนาของเส้นผมที่เพิ่มขึ้นได้อย่างชัดเจนในช่วง 3 – 6 เดือนหลังทำ (ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละรายบุคคล)
ฉีด PRP เจ็บไหม?
ฉีด PRP อาจรู้สึกเจ็บได้บ้างเพราะมีการใช้เข็ม โดยแพทย์จะมีการใช้ยาชา ใช้การประคบเย็นเข้า รวมไปถึงใครเครื่องสั่นบรรเทาความเจ็บ ทำให้รู้สึกเจ็บน้อยลงหรือแทบไม่รู้สึก ขึ้นอยู่กับการตอบสนองต่อความเจ็บของคนไข้แต่ละคนที่แตกต่างกันออกไป
ฉีด PRP ผลลัพธ์อยู่ได้นานไหม?
การฉีด PRP ผลลัพธ์สามารถคงอยู่ได้ประมาณ 3 – 6 เดือนแรกหลังทำ โดยสามารถฉีดอย่างต่อเนื่องทุก ๆ 3 – 6 เดือนเพื่อช่วยให้ผลลัพธ์คงอยู่ได้นานขึ้น แต่ในกรณีที่มีการรักษาหลักอย่างอื่นร่วมด้วยสามารถฉีดได้ทุก ๆ 4 เดือน ถึง 6 เดือน ตามความเหมาะสมของโดยแพทย์จะเป็นผู้ประเมินและออกแบบการรักษาให้เหมาะกับแต่ละคนมากที่สุด
ฉีด PRP ในผู้ป่วยมะเร็งได้ไหม?
แพทย์ไม่แนะนำให้ฉีด PRP ในกลุ่มผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งหรือกำลังรักษาโรคมะเร็งอยู่ เพราะในเลือกมียาหลายชนิด นอกจากนั้นสภาพร่างกายไม่สมบูรณ์ อาจทำให้ผลลัพธ์ออกมาไม่เป็นอย่างที่ต้องการหรือไม่เห็นผล
สรุป
ฉีด PRP คืออีกหนึ่งทางเลือกของคนที่มีปัญหาผมร่วง ผมบาง ให้กลับมางอกใหม่ดีขึ้น เส้นผมหนาขึ้น โดยที่ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องพักฟื้น กลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ สามารถใช้เป็นการเสริมประสิทธิภาพการรักษาให้กับวิธีการหลักอย่างอื่นได้ แต่อาจจะไม่เหมาะกับคนที่มีปัญหารุนแรงหรือศีรษะล้าน อาจจะต้องใช้วิธีการอื่น ๆ ร่วมด้วย สำหรับใครที่มีปัญหาเกี่ยวกับหนังศีรษะอ่อนแอ เส้นผมไม่แข็งแรง มีอาการผมร่วง ผมบาง รวมไปถึงมีปัญหาศีรษะล้าน สามารถเข้ามาปรึกษากับทีมแพทย์มากประสบการณ์ของ Vincent Clinic ได้เลย